วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551




แนวทาง FTA ของจีน


จีนในปัจจุบัน จีนเติบโตอย่างมหัศจรรย์ ทำให้จีนมีพลังครอบงำทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก เบียดอิทธิพลทางเศรษฐกิจเดิมของญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัด เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกนั้น มีการค้าระหว่างภูมิภาค ซึ่งเติบโตรวดเร็วกว่าเขตเศรษฐกิจอื่นใดในโลกในช่วงของการปรับเปลี่ยนสู่ความทันสมัย ที่จีนก้าวล้ำนำหน้าด้านการพัฒนา จะเห็นว่า การลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI=Foreign Direct Investment) ไปลงทุนที่จีนมากที่สุด การลงทุนเหล่านี้ส่วนมากแล้ว ก็เป็นการลงทุนเพื่อการผลิตส่งออกเป็นสำคัญนโยบายการส่งออกนำเข้าของจีนนั้น มีลักษณะการค้าสามขามานมนาน คือจะเห็นว่า จีนจะผลิตสินค้าสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูป เพื่อการส่งออก ขณะเดียวกันก็จะนำเข้าวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบสินค้ากึ่งสำเร็จรูป กับสินค้าที่เป็นเงินทุนยุทธศาสตร์การค้าเช่นนี้ แม้จีนจะมีดุลการค้าเกินสหรัฐกับสหภาพยุโรป แต่ก็เสียดุลการค้ากับหลายประเทศในเอเชียด้วยกัน ส่วนแบ่งการส่งออกของจีนแย่งเอามาจากประเทศเศรษฐกิจใหม่ เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์และไต้หวัน เพิ่มจากร้อยละ 8 ในปีค.ศ. 1900 (2543) เป็นร้อยละ 15 ในปีค.ศ. 1997 และมาเป็นร้อยละ 20 ในปีค.ศ. 2002 ประเทศในอาเซียนเป็นตลาดใหญ่เป็นที่สี่ที่จีนนำเข้าวัตถุดิบถ้าลองสำรวจดูการทำข้อตกลงการค้าเสรีของจีนกับประเทศต่างๆ แล้ว จะเห็นว่า FTA ที่จีนทำนั้นเน้นการนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะด้านพลังงาน ซึ่งจีนเพิ่มการนำเข้าร้อยละ 4 ต่อปีทุกปี ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ด้านน้ำมัน หรือมีน้ำมันเป็นพลังงาน FTA กับจีนจึงดูราบรื่นดี เช่น FTA ที่จีนทำกับออสเตรเลียเป็นต้นแนวทางการทำ FTA ของจีนนั้น ดูให้ดีแล้วเดินตามหลักที่สามารถปฏิบัติได้ (Pramatic approach) จึงดูว่ามีความคล่องตัวเลื่อนไหลอยู่มาก เป็นข้อตกลงที่เน้นข้อตกลงอย่างเข้ม เช่นที่ทำกับฮ่องกง ที่เรียกว่าข้อตกลงคู่ร่วมทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด (Closer Economic Partnership Agreement) ในขณะที่ข้อตกลงที่ทำกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์กลับทำอย่างกว้างๆ กว่าหากเทียบ FTA ระหว่างสหรัฐกับจีนแล้วจะเห็นว่าของสหรัฐเข้มข้นกว้างขวางครอบคลุมมาก และเน้นใช้เป็นหลักที่จะนำไปกำหนดในองค์การการค้าโลกมากกว่า ขณะที่ FTA ของจีนทำอย่างหลวมๆ และหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งในกลไกการทำความตกลงต่อกัน หรือข้อขัดแย้งในประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา หรือหลายเรื่องอื่นอันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เป็นต้น
ที่มา www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น: