วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

โพลล์ชี้เสียงกำกึ่ง ต้านรัฐบาล ค้านรัฐประหาร


เอแบคโพลล์ สำรวจความเห็นหลัง รัฐใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เห็นด้วยพอกับไม่เห็นด้วย ไม่อยากให้รัฐประหาร
ความวุ่นวายดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินและข้อดีข้อเสียของการยึดอำนาจ กรณีศึกษาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี อยุธยา ราชบุรี นครปฐม ระยอง หนองคาย อุบลราชธานี นครราชสีมา สุรินทร์ สุราษฎร์ธานี และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 3,083 ตัวอย่าง ซึ่งดำเนินโครงการวันที่ 2-3 กันยายน 2551ผลสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกศึกษาหรือร้อยละ 90.8 รับทราบข่าวการประกาศภาวะฉุกเฉิน ในขณะที่ร้อยละ 9.2 ไม่ทราบข่าว และที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนที่ถูกศึกษาก้ำกึ่งกัน คือร้อยละ 50.8 เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพราะ เหตุการณ์ความวุ่นวายจะได้ยุติโดยเร็ว / ลดความรุนแรงของการปะทะ / ไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงบานปลาย / ถึงเวลาที่ต้องทำ และเหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นต้น ในขณะที่ประชาชนร้อยละ 49.2 ระบุไม่เห็นด้วย เพราะ รัฐบาลควรแสดงความรับผิดชอบ ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย รุนแรงเกินไป จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำลงไปอีก เป็นต้นเมื่อจำแนกความคิดเห็นออกตามเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา และรายได้ พบว่า ชายร้อยละ 52.4 และหญิงร้อยละ 49.5 เห็นด้วย กลุ่มช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปีร้อยละ 57.1 กลุ่มอายุระหว่าง 20 - 29 ปีร้อยละ 55.4 กลุ่มอายุระหว่าง 30 - 39 ปีร้อยละ 50.3 กลุ่มอายุระหว่าง 40 - 49 ปีร้อยละ 49.9 และกลุ่มอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 47.9 เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินนอกจากนี้ กลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 46.9 กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนร้อยละ 53.9 กลุ่มนักธุรกิจส่วนตัว หรือค้าขายร้อยละ 44.5 กลุ่มนักเรียนนักศึกษาร้อยละ 61.1 กลุ่มเกษตรกร รับจ้างแรงงานทั่วไปร้อยละ 55.0 และกลุ่มแม่บ้าน เกษียณอายุร้อยละ 54.6 เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาและระดับรายได้ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 52.3 ของกลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 47.8 ของกลุ่มคนที่มีการศึกษาปริญญาตรี และร้อยละ 42.9 ของกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี เห็นด้วย ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนมีรายได้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือนส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 55.9 กลุ่มคนรายได้ระหว่าง 5,001 - 10,000 บาท ร้อยละ 50.2 กลุ่มคนรายได้ระหว่าง 10,001 - 15,000 บาทร้อยละ 50.3 กลุ่มคนรายได้ระหว่าง 15,001 - 20,000 บาทร้อยละ 50.8 และกลุ่มคนรายได้มากกว่า 20,000 บาทขึ้นไปส่วนใหญ่หรือร้อยละ 44.9 เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ เมื่อสอบถามว่า ถ้ามีการยึดอำนาจเกิดขึ้นจะมีข้อดีอะไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 47.2 ระบุบ้านเมืองจะได้สงบสุขโดยเร็ว ความวุ่นวายจะได้น้อยลง การชุมนุมประท้วงจะได้ยุติ รองลงมาคือ ร้อยละ 22.8 ระบุไม่ให้เกิดการปะทะกัน ไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงบานปลาย ร้อยละ 12.7 จะได้มีการเลือกตั้งใหม่ เปลี่ยนรัฐบาล ร้อยละ 9.9 ระบุจะได้จัดการทุกอย่างให้เป็นระเบียบมากขึ้น ร้อยละ 4.5 ระบุประชาชนจะได้มีความปลอดภัยมากขึ้นอย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ข้อเสียของการยึดอำนาจมีอะไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.4 ระบุประเทศชาติจะเสียหาย ต่างประเทศจะต่อต้านไทยและขาดความเชื่อมั่น รองลงมาคือร้อยละ 57.5 ระบุเศรษฐกิจจะตกต่ำวิกฤตลงไปอีก ร้อยละ 50.9 ระบุเป็นการทำลายประชาธิปไตย เป็นเผด็จการ ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา และร้อยละ 41.8 ระบุไม่สามารถยุติความวุ่นวายได้จริง อาจทำให้รุนแรงมากขึ้นอีก เป็นต้น และเมื่อถามว่า ระหว่างข้อดีกับข้อเสียของการยึดอำนาจ อย่างไหนจะมากกว่ากัน ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.2 เห็นว่าข้อเสียของการยึดอำนาจจะมากกว่าข้อดี ในขณะที่ร้อยละ 32.8 คิดว่าข้อดีจะมากกว่าผอ.เอแบคโพลล์กล่าวว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าประชาชนของฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุน มีสัดส่วนก้ำกึ่งกัน จึงดูเหมือนว่า จะยังไม่มีทางออกสำหรับประชาชนทั้งประเทศต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงทางการมืองหลังจากมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากแต่ละฝ่ายมีฐานสนับสนุนพอๆ กัน และแต่ละฝ่ายก็มีความเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของตนเองเป็นสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทย รวมทั้งการปกครองระบอบประชาธิปไตยดีขึ้น นอกจากนี้ผลสำรวจของเรายังชี้ให้เห็นด้วยว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้มีการยึดอำนาจเกิดขึ้นอีกแล้ว และในอดีตที่ผ่านมา บนเส้นทางของการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ก็บอกกับพวกเราให้ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ สามารถทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้ อย่างไรก็ตามความสงบสุขเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรีบฟื้นฟูให้กลับคืนมาสู่สังคมไทยโดยเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในชาติ ความไม่ปกติทางการเมืองในเวลานี้ ได้ทำให้เกิดข้อจำกัด เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของคนไทย และย่อมส่งผลกระทบต่อปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าปราศจากแนวทางแก้ไขด้วยสันติวิธี วัฏจักรแห่งความเลวร้ายก็จะยังเกิดขึ้นต่อไป ดังนั้น ทางออกคลี่คลายสถานการณ์ของประเทศที่น่าพิจารณาคือประการแรก เร่งรณรงค์ให้ประชาชนคนไทยทุกคนนำเอกลักษณ์ที่เป็นพฤติกรรมเชิงบวก มาแสดงมากกว่า พฤติกรรมเชิงลบ เช่น นำเอาความมีไมตรีจิต การให้อภัย ความมีเมตตา การช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันความสุขให้แก่กันมากระทำในครอบครัว กับเพื่อนบ้าน ภายในชุมชน และระหว่างชุมชนประการที่สอง สังคมไทยน่าจะมีการหนุนเสริมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีการรวมตัวกันเคลื่อนไหวที่เข้มแข็งมากขึ้นภายใต้การนำของกลุ่มคนที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นที่ยอมรับของสังคมชุมชนระดับพื้นที่ตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเข้ามารับฟังความคิดเห็นความต้องการและเสนอให้ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่สนับสนุนรัฐบาลได้นำไปพิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุผลประการที่สาม สถาบันสื่อสารมวลชนน่าจะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนในเวลานี้ โดยมุ่งเน้นคลี่คลายอารมณ์ร้อนแรงของประชาชนให้เย็นลง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อถือต่อสื่อมวลชนในระดับมาก การนำเสนอข้อมูลข่าวสารในมิติเชิงบวกต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ของประชาชนภายในประเทศน่าจะช่วยกอบกู้สถานการณ์ขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองขณะนี้ได้บ้างประการที่สี่ น้ำที่กำลังขุ่นในแก้ว มันสามารถตกตะกอนและใสขึ้นมาได้โดยตัวของมันเอง ถ้าไม่มีอะไรไปกวนมัน และถ้าเรามองเชิงโครงสร้างของระบบสังคมไทยและกระบวนการยุติธรรมภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะพบว่า โครงสร้างการตรวจสอบและกลั่นกรองคุณภาพนักการเมืองเข้มแข็งขึ้นมากกว่าอดีต และกำลังเริ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการสร้างคุณภาพนักการเมืองใหม่ขึ้นมาให้สาธารณชนคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ น่าจะอดทนอดกลั้น รอจังหวะเวลาที่กำลังเดินเข้าใกล้ในการคลี่คลายสถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี



2 ความคิดเห็น:

Mrmondaynight กล่าวว่า...

การประกาศใช้ พรก. ฉุกเฉินเหรอครับ ดูแล้วก็ดีนะครับถ้าการทำในครั้งนี้ มันถูกต้องจริงๆ โดยจากเหตุการณ์การประทะกันของพันธมิตรฯกับนปก. ซึ่งเหตุการที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ นปก.เคลื่อนพลมายังบริเวณที่พันธมิตรฯ ปักหลักอยู่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ พรก.ฉุกเฉิน กับถูกนำมาใช้กับพันธมิตรซึ่งดูแล้วเหมือนไม่ใช่คนที่เริ่มต้นแห่งเหตุ และยังไม่พอนายกฯสมัคร สุนทรเวช ยังออก พรก.อีก 2 ฉบับ เพื่อเป็นการ ห้ามมิให้ “พล.อ.อนุพงษ์” ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหารโดยพละการ เพียงเพราะว่า ผวาว่าตนและพวกถูกรัฐประหารจากทางทหาร

แบบนี้นะเหรอผู้นำคนไทย บ้าบอมากๆ บ้าทั้งนายหอกหักและรัฐบาลหอกหัก คนเขาอกมาไล่ทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วยังจะอยู่ต่ออีก กล้าจริงๆที่ยังอยู่ได้

นายปารเมศ เนื่องชมภู รหัสนักศึกษา 5131601399
section 02 school of law

แบงค์ กล่าวว่า...

ไม่ทำตามกฎหมายก็ผิดอยุ่แล้วอ่ะ

ยังจะมาบอกว่าให้ตำรวจเข้าไปจับอีก

ถ้าเข้าไปเดี๋ยวก็มีปัญหาอีก

ประกาศพรก.ฉุกเฉินไปก็ยังไม่ทำตาม

อย่ามีกฎหมายเลย

เหอะๆๆ