วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

“สนธิ” จวกรัฐบาลขายชาติ ปล่อยเขมรให้สัมปทานฝรั่งขุดน้ำมันเขตทับซ้อน

“สนธิ” ย้ำ “การเมืองใหม่” ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเปิดให้ถอดถอนนักการเมืองง่ายกว่าเดิม 100 เท่า พร้อมให้ ปชช.มีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรของชาติให้ตกเป็นของคน 64 ล้านคน จวกรัฐบาลขายชาติปล่อยเขมรให้สัมปทาน “เชฟรอน” เจาะน้ำมันเขตทับซ้อน ระบุเบื้องหลังความวุ่นวายของโลก มี “น้ำมัน” อยู่เบื้องหลัง แฉต่างชาติจ้องฮุบแหล่งก๊าซ-น้ำมันมหาศาลในอ่าวไทย
เมื่อเวลา 21.38 น.วันที่ 21 ก.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมเรื่องการเมืองใหม่วันนี้ไม่ได้มาประชุมด้วยเพราะพิษไข้ แต่ได้บอกกับแกนนำคนอื่นๆ แล้วว่า ความเห็นส่วนตัวเรื่องการเมืองใหม่ คือ 1.การที่ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองจริงๆ โดยมีกฎหมายรองรับ และ 2.เราต้องมีกระบวนการถอดถอนนักการเมืองชั่วที่ง่ายกว่าเดิมสักร้อยเท่า คือสามารถถอดถอนได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด ไม่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ นั่นคือประชาชนสามารถอดถอน ส.ส.ได้ การเมืองใหม่จึงไม่ใช่ การเมืองของพวกที่ซื้อเสียงเข้าไป แต่ต้องเป็นการเมืองของประชาชนที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หลังจากนั้น นายสนธิได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญนั่นคือเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดจากน้ำมัน โดยอธิบายว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือขายหุ้นให้เทมาเส็ก และไปร่วมเจรจากับประเทศต่างๆ เป็นเรื่องพลังงานทั้งสิ้น นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรมีความหมายทางเศรษฐกิจเท่ากับน้ำมัน โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกที่ใช้น้ำมันในการพัฒนาอุตสาหกรรม ความกินดีอยู่ดีของคนตะวันตกจึงขึ้นกับการพึ่งพาแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง ทำให้ประเทศตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลาง โดยในปี 2499 นายกโมซาเด็กของอิหร่านที่รักชาติได้ยึดบ่อน้ำมันของบริษัทต่างชาติมาเป็นของอิหร่านแล้วจ่ายค่าชดเชยให้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษจึงหาทางล้มรัฐบาลนายโมซาเด็กแล้วให้ซีไอเอและสายลับเอ็มไอ 6 โค่นล้มนายโมซาเด็กลงแล้วให้พระเจ้าชาห์ขึ้นมาปกครองประเทศและคืนบ่อน้ำมันให้บริษัทต่างชาติตามเดิม ส่วนที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 50 ของตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 70 ของทั้งโลก สหรัฐอเมริกาได้จับมือเซ็นสัญญาซื้อน้ำมันระยะยาว และรับประกันราคานำมันให้ โดยสัญญาสิ้นสุด ในปี 2539 โดยก่อนที่จะสิ้นสุดสัญญานั้น บริษัทน้ำมัน อาทิ เชฟรอน เอสโซ่ เชลล์ ได้สำรวจแหล่งน้ำมันทั่วโกล ซึ่งทำให้รู้ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ยังไม่ขุด เพราะยังสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกจากซาอุฯ ได้ จึงเก็บเป็นความลับเอาไว้ นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันของต่างชาติได้ใช้ดาวเทียมสำรวจน้ำมันซึ่งเคยถ่ายภาพบริเวณอ่าวไทยและพบว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมันที่ไม่น้อยกว่าซาอุดีอาระเบีย แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ เพราะเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นล้านในการสำรวจ ประกอบกับราคาน้ำมันขณะนั้นยังไม่ขึ้น จนกระทั่งช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาที่น้ำมันขึ้นาคาจากบาร์เรลละ 40 เหรียญเป็น 100 กว่าเหรียญ แล้วตกไป 90 กว่า และจะไม่มีวันต่ำกว่า 80 เหรียญหลังจากนี้ เพราะอาหรับหันไปใช้ราคาทองคำเป็นตัวกำหนดราคา เป็นราคาที่ชาวอาหรับพอใจ ขณะที่บริษัทน้ำมันก็ไม่สนใจว่าผู้ใช้จะเดือดร้อนหรือไม่ รวมถึง ปตท.ที่ขายให้เอกชนไปแล้ว นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันมีอิทธิพลสูงมากจนสามารถล้มรัฐบาลชาติไหนก็ได้ที่ไม่ตอบสนองเรื่องพลังงานให้เขา เรื่องนี้มีบทพิสูจน์ นายจอร์จ ดับเลิลยู. บุช ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้เพราะอิทธิพลบริษัทน้ำมัน เมื่อขึ้นมาก็ส่งเสริมบริษัทน้ำมัน บินมาเอเชียก็เพื่อเจรจาเรื่องน้ำมัน หลังปี 2539 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เริ่มเปิดลิ้นชักผลสำรวจแหล่งน้ำมันที่เก็บเป็นความลับ ซึ่งในแผนที่ลับจะชี้ว่าที่ใดมีน้ำมันบ้าง เป็นที่ทราบมานานสำรับคนที่เรียนวิศวปิโตรเลียมว่าพื้นที่ใดที่มีแม่นำไหลลงทะเล ปากแม่น้ำจะมีน้ำมันมหาศาล ซึ่งไทย กัมพูชา และเวียดนาม มีแม่น้ำโขงไหลลงมา พื้นที่อ่าวไทยทั้งหมด จึงคือขุมทรัพย์มหาศาลของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งฝรั่งรู้มานานแล้วแต่เก็บเป็นความลับเอาไว้จนราคาน้ำมันขึ้นมา ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มสนใจน้ำมัน ปี 2547-2548 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันกระโดจาก 20 เป็น 30 เหรียญ นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ได้บินมาไทย เพราะมีข้อมูลน้ำมันในอ่าวไทย แต่เป็นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เมื่อมาเจรจาขอสัมปทาน แต่จะต้องคุยทั้งไทยและกัมพูชาก่อน ถึงถอยฉากออกไป พร้อมกับทิ้งข้อมูลไว้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเหตุนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงคิดที่จะขายชินคอร์ป เพื่อเอาเงินเทมาเส็กมา โดยส่วนหนึ่งจะเอามาลงหุ้น กฟผ.ที่จะแปรรูป ส่วนหนึ่งจะตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย ทั้งนี้ แหล่งน้ำมันในอ่าวไทยนั้น พื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งนั้นเป็นของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน แต่พื้นที่ตรงกลาง ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จึงถือเป็นพื้นที่ทับซ้อน อย่างไรก็ตามในส่วนของเขมรนั้น เชฟรอน ได้เข้ามาขุดสำรวจ 4 หลุม พบว้ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 3 หลุม แสดงว่าในอ่าวไทยเต็มไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยเชฟรอนอ้างในรายงานว่า ในหลุมที่ขุดพบมีน้ำมันประมาณ 1 ล้านล้านบาร์เรล แต่เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน บอกว่า ตามธรรมดาแล้วบริษัทน้ำมันที่ไปรับสัมปทานในประเทศโลกที่ 3 จะโกหก โดยข้อเท็จริงจะมีกว่าที่บอกประมาณ 50-100 เท่า เพราะเขาไม่ต้องการให้รู้ว่ามีประมาณมากขนาดนั้น “วิธีการของมันที่ทำ คือ ส่วนที่ขุดออกมา มันก็ส่งออกและจ่ายค่าสัมปทาน แต่ส่วนหนึ่งมันก็ทำแบบที่ ปตท.ก็ทำอยู่ คือเอาเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบมารับจากท่อขุดเจาะโดยตรง แล้วเอาไปขาย อีกจุดที่มีน้ำมันเยอะ ถ้าลากเส้นจากจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี ตรงดิ่งเข้าไปในทะเลประมาณ 120 กิโลเมตร เป็นแหล่งนำมันมหาศาล ที่ยังไม่มีใครรู้ นี่ไง 3 จังหวัดภาคใต้จึงยังไม่สงบ เหมือนติมอร์ที่แยกไปจากอินโดนีเซีย เพราะมันมีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ดีบุก ทองคำ และแพลทินัม คนที่สนับสุนให้ติมอร์แยกตัวออกไปคือใคร คือ ออสเตรเลีย แล้วบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันในติมอร์และผูกขาดทำเหมืองก็คือออสเตรเลียทั้งหมด เหมือนกับอาเจะห์แหล่งน้ำมันใหญ่อีกแห่ง การทำให้ 3 จังหวัดภาคใต้วุ่นวายตลอด เป็นความพยายามให้ 3 จังหวัดประกาศตนเป็นอิสระ โดยมีบริษัทน้ำมันสนับสนุน เพื่อพวกมันจะได้เข้าไปฮุบผลประโยชน์ที่ 3 จังหวัดมีสิทธิ ตามระยะเข็มไมล์ ตามกฎหมายทางทะเล” นายสนธิ กล่าว นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่เราทะเลาะกับเขมร ตอนนี้มีตัวเล่นเพิ่มคือ จีน ที่พัฒนาตัวเองในรอบ 15 ปีมานี้จนร่ำรวยและเติบโตมหาศาล แต่เริ่มเดินไม่ออก เพราะเริ่มขาดแคลนน้ำมัน จากเดิมที่มีบ่ำน้ำมันที่ต้าชิงและส่งออก ตอนนี้ต้องนำเข้า ต้องค้าขายกับอิหร่านเพิ่ม และออกไปลงทุนทำบ่อน้ำมันในอาฟกานิสถาน ไปสนับสนุนรัฐบาลพม่าเพราะมีแหล่งก๊าซฯ ส่วนที่ต้องมาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร เพราะถ้าลากเส้นไปก็จะกินพื้นที่เข้าไปในเขตทับซ้อน มีการสร้างถนนจาก สีหนุวิลล์ วิ่งไปทางเขาวิหาร และทะลุไปคุนหมิง ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นทางรถวิ่ง แต่เป็นแนวท่อส่งน้ำมันไปให้จีน สหรัฐฯ จึงเข้ามาขวางเพราะกลัวจีนจะแผ่อิทธิพล ถึงขนาดลงไว้ในยุทธศาสตร์ความมั่นของสหรัฐฯ ว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือจีน ในที่สุดเขมรก็จะเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติ มีแหล้งพลังงานเยอะ และกำลังให้บริษัทฝรั่งมาตรวจสอบแหล้งก๊าซฯ และน้ำมันที่มีอยู่ในทะเลสาบ ที่เขมรจับปลามาทำปลากรอบ นั่นคือแหล่งก๊าซและน้ำมัน แต่ไม่ต้องห่วง เขมรจะมีน้ำมันมากแค่ไหน ก็จะเหมือนไนจีเรีย ซึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เจอน้ำมันแต่ให้ต่างชาติรับประโยชน์ไป 600,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้คนไนจีเรียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ยังยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวกิน “เขมรก็จะเป็นแบบนั้น เพราะมันมีรัฐบาลและนายกฯ ที่ชาติชั่ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเขมร มันเป็นประเทศถูกสาป ไม่ถูกสาปได้ไง ขนาดพระสังฆราชยังเล่นของ แล้วจะเจริญได้อย่างไร เราไม่ต้องไปกลัว แต่กำลังชี้ให้เห็นว่ากรเมืองระหว่างประเทศกำลังมีบทบาทในไทยเรื่องน้ำมัน เมื่อสหรัฐฯ จีนเข้ามา ฝรั่งเศสก็เข้ามา ญี่ปุ่นก็เข้ามา กรรมการที่จะมาดูแลพื้นที่เขาพระวิหารที่เป็นมรดกโลก ก็คือ 6 ประเทศที่อยากได้นำมัน” นายสนธิกล่าว นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เขมรได้อนุญาตให้เชฟรอนตั้งแท่นขุดเจาะบนพื้นที่ทับซ้อนกับไทยแล้ว โดยที่เราไม่ได้คัดค้านเลย ต่างจากจีนที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับเวียดนาม แล้วจู่ๆ เวียดนามก็ให้เชฟรอนรับสัมปทาน จีนจึงแจ้งไปว่าพื้นที่นี้เป็นของจีน ถ้าเชฟรอนตั้งแท่นเมื่อไหร่จะส่งเรือไปถล่มทันที เชฟรอนรีบถอยเลย “ถ้าเรามีรัฐบาลที่รักชาติ มีทหารที่ไม่ห่วงแค่ยศแค่ตำแหน่งกับงบประมาณซื้ออาวุธ ถ้ามันห่วงทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มันต้องขยับแล้ว ต้องแจ้งเชฟรอนว่าตรงที่แท่นคุณไปตั้ง มันของผม ถึงเขมรบอกเป็นของเขาก็ตาม เมื่อไหร่ที่คุณลงเสา ผมเอาปืนยิงเลย แต่มันทำไมมันไม่ทำ เพราะมันเป็นรัฐบาลขายชาติ นี่ไง เรามาสู้เพื่ออะไร เข้าใจหรือยัง ทรัพยากรนี่คือสินทรัพย์ของแผ่นดิน ที่เราต้องมาบริหารจัดการเพื่อคนไทย 64 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อโคตรใครบางคนที่อยู่ลอนดอน และไม่ใช่เพื่อโคตรของคนตาเหล่” นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่มีหมายความหลายๆ อย่างมากมายมหาศาล ถ้าเราเอาเรือปืนเราไปไล่เชฟรอน ทั้งอเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ก็ต้องถอย เพราะคิดว่าไทยเอาจริง และมาคุยกับไทยดีกว่า เมื่อมาคุยกับไทย เราก็ต้องมีเงื่อนไขว่าฮุนเซนจะไปซี้ซั้วให้ใครไมได้ ให้เมื่อไหร่ยิงเมื่อนั้น ฮุนเซนก็ต้องถามเราว่าจะเอายังไงบอกมา เราก็บอกให้เขียนแผนที่กันใหม่ ถ้าไม่ยอม เราก็ไม่ยอม เพราะคนไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวอยู่แล้ว เราทำมาหากิน เรารวยกว่าเขมรมาก แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเอาบริษัทขายชาติมาเป็นของเรา นั่นคือ ปตท. ที่มันขายชาติ มันมีแผนที่ข้อมูลหมด ว่าที่ไหนมีน้ำมัน แต่เก็บไว้เอง แล้วทำมาหารับประทานกับบริษัทน้ำมันและก๊าซฯ ของฝรั่งต่างชาติ จนผู้บริหารร่ำรวย ซึ่งถ้ามีอำนาจจะยึคทรัพย์ผู้บริหาร ปตท.ทั้งหมด “นายประเสริฐ บุญสมพันธ์ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ปตท.ร่ำรวย ยอดขายเท่านั้นเท่านี้ เป็นบริษัทอันดับหนึ่งของไทย แต่ทุกอย่างที่เอาไปแปรรูปนั้นล้วนแต่เป็นของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ของคุณ ทุกอย่างเป็นของชาติ แม้แต่ท่อส่งก๊าซ ศาลปกครองก็ส่งให้เป็นของรัฐ แล้วคุณก็ไปบีบเพื่อให้ได้เช่าท่อก๊าซในราคาถูก ซึ่งถ้ามีการเมืองใหม่ เราไม่ยอมเด็ดขาด” นายสนธิ ย้ำว่า ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับน้ำมัน เราต้องมีการเมืองใหม่ที่เจรจาเป็น ไม่ใช่การเมืองของนายกฯ เลขานายก ประธาน ปตท. หรือคนที่อยู่ลอนดอน แต่เป็นของคนไทย 64 ล้านคน เมื่อเป็นเช่นนั้นการเจรจาก็จะไม่ยาก ก็เพราะทุกอย่างเมื่อเจรจาเสร็จ ผลประโยชน์เข้ากระเป๋า 64 ล้านใบ แต่ถ้าเป็นการเมืองของบพวกเขาเอง ก็จะแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพวกเขาไม่กี่คนกับบริษัทฝรั่ง เหลือเศษเนื้อติดกระดูกให้คนไทย “สำหรับผม การเมืองใหม่ที่ต้องมีคือ จะต้องรักษาสินทรัพย์ที่ผมเล่ามาให้ตกเป็นของคนไทยทั้งประเทศ” นายสนธิย้ำ นายสนธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ตนได้พูดเรื่องวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ กรณีเลห์แมน บราเธอร์ส และเอไอจี แล้ว มีโทรศัพท์มามากจากตัวแทนเอไอเอที่เป็นพันธมิตรเข้ามามาก ให้ช่วยชี้แจงว่า เอไอเอที่เมืองไทย มีเอไอจีถือหุ้นเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ครึ่ง เอไอเอเมืองไทยจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันที่มีน้ำใจที่หนักแน่นให้แกพันธมิตร คือ “วิริยะประกันภัย” ที่ยอมขายกรมธรรม์ในการประกันตัวนักรบศรีวิชัย


ขอขอบคุณhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?newsid=9510000112028

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

หลักบริหารบ้านเมือง นายกฯ ใหม่ยึดซื้อสัตย์ - ก.ม.

วันนี้ (18 ก.ย.) ว่า เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ที่บ้านพักเลขที่ 222/92 หมู่บ้านเบเวอร์ลี่ฮิลล์ ถ.แจ้งวัฒนะ ว่า “วันนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กระผมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้ในครั้งนี้ เป็นศิริมงคลแก่กระผมและครอบครัวอย่างสูงสุด กระผมจะขอเทิดทูนไว้เหนือชีวิต ด้วยความจงรักภักดีตลอดไป
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพทุกท่าน กระผมขอยืนยัน ณ โอกาสนี้ ว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยการทุ่มเท เสียสละ ด้วยวิริยะอุตสาหะ ด้วยความมีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักกฎหมาย ยึดมั่นในหลักแห่งกระบวนการยุติธรรมเพื่อความเป็นธรรม เรียบร้อย ในบ้านเมืองของเรา
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ขณะนี้ ในประเทศบ้านเมืองของเรานั้น มีปัญหาที่จะต้องดำเนินการแก้ไข คงจะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า บางครั้งเรามีความขัดแย้งทางความคิด การขัดแย้งเหล่านั้น ตนคิดว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เราคงจะต้องมองว่า เกิดขึ้นแล้วทำอย่างไรจึงจะนำพาไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ และความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองเราต่อไป ตนคิดว่า สิ่งนี้ คงต้องคิดกันอย่างรอบคอบและมีเหตุผล
ตนประสงค์ที่จะให้พี่น้องประชาชนชาวไทยของเราได้กลับมาร่วมกันคิด คิดว่า ความเป็นพี่เป็นน้องของเรานั้น จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องประชาชนร่วมกันนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราน่าจะหันหน้าเข้ามาสู่ความปรองดอง อะลุ่มอล่วยให้อภัยซึ่งกันและกันไม่ถือโทษโกรธกัน และจะต้องมีความเมตตาอารี เอื้ออาทรแก่กัน ตนคิดว่า สิ่งนี้ ย่อมมีอยู่ในหัวใจของเราทุกคนถ้าหากว่าเราได้ดำเนินการ มีวิธีคิด ที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
พี่น้องทุกท่านตนคิดว่า หากเราได้ยึดหลักอย่างนี้ แล้ว ประเทศชาติของเราจะกลับคืนมาสู่ความร่วมเย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราจะทำให้เราได้ร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรต่อไป ขณะนี้ เรามีปัญหาอื่นๆ ที่จะต้องร่วมกันแก้ไขอีกมากมาย ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลของกระผมที่จะได้เกิดขึ้นโดยสำเร็จสมบูรณ์ในเร็ววันนี้ จะคำนึงถึงประโยชน์สุข ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน เป้าหมายสูงสุด คือ การร่วมกันนำพาประชาชนของเรา ประเทศชาติของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องและวัฒนาถาวร
เรามีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าเข้ามาหลายด้าน อย่างปัจจุบันนี้ เช่น เรื่องเกี่ยวกับเงินทุนที่ค่อนข้างจะไหลเข้ามาน้อยในประเทศของเรา หรือ ปัญหาที่บริษัทต่างชาติที่มีเงินทุนจำนวนมากเกินประสบความล้มเหลวในการบริหาร กระทบกระเทือนถึงภาวะเศรษฐกิจในบ้านเรา หลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ ผสมผสานกัน ดังนั้น คิดว่า ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไขแล้วใครจะมาช่วยเราแก้ไข คนไทยเท่านั้น ที่จะต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันแก้ไขสิ่งที่มีปัญหาเกิดขึ้นในบ้านเรา
ตนขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านช่วยกัน ทุกท่านเป็นหุ้นส่วนของประเทศของเรา รัฐบาลนั้น เป็นผู้มีหน้าที่ในการบริหารให้เกิดพลังและผลักดันประเทศชาติของเราให้เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นอย่างไรก็ตามประชาชนในชาติไม่รักสามัคคีกัน ไม่ร่วมกันผลักดันแล้วก็คงจะสำเร็จลงไปได้ยาก ตนหวังว่า พี่น้องประชาชนทั้งหลายคงจะได้ร่มมือกัน ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณประชาชนชาวไทยทุกท่านที่จะได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกันในการที่จะสรรสร้างความรักความสามัคคีในการที่จะร่วมกันเสริมสร้างภาวะเศรษฐกิจที่ดีให้แก่บ้านเมืองของเรา
ขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน เพื่อนข้าราชการ ที่จะได้นำเอานโยบายทั้งหลาย ความประสงค์ของพี่น้องประชาชนทั้งหลายไปปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ ดังนั้น ถ้าทุกฝ่ายได้ร่วม มือกันแล้วตนมั่นใจว่า ความประสงค์ของเราทุกคนจะประสบความสำเร็จพร้อมกัน นำพาประเทศชาตอของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องในที่สุด”

Credit : http://www.thairath.co.th/

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ผบ.ตร.สั่งฟ้อง "จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูงแล้ว!

ผู้จัดการออนไลน์ - ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในความเห็นสั่งฟ้อง “จักรภพ เพ็ญแข” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รอให้ทาง บช.ก.นัดหมายกับเจ้าตัว ส่งให้อัยการ ระบุหมดหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแล้ว

วันนี้ (15 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ต่อนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งฟ้องตามที่คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน โดยขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อทำการนัดหมายกับนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อประสานงานเรื่องการนัดวันและเวลา ในการส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปให้กับอัยการต่อไป

“เมื่อสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของอัยการแล้ว ก็ถือได้ว่าภาระหน้าที่ของพนักงานสอบสวนก็เป็นการเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกไม่นาน” พล.ต.ต.สุรพลกล่าว

ทั้งนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ถูก พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน แจ้งความจับเมื่อวันที่ 24 มี.ค. โดย พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์เข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีที่ นายจักรภพแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกการแถลงข่าวพร้อมกับเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดีดังกล่าวมอบให้แก่พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญภาษาหลายฝ่ายได้แปลคำปราศรัยของนายจักรภพ ซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นคำแปลของตัวนายจักรภพเอง จนกระทั่งมีความเห็นจาก ผบ.ตร.ที่ลงนาามสั่งฟ้องในวันนี้

ที่มา : http://www.tttonline.net/TTT2/hotcontent/contents_view.php?page_name=news&conts=4347

ขัดขืนแบบพันธมิตร “สง่างาม” หรือ “ป่าเถื่อน”



ต้องยกนิ้วให้ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อคณาธิปไตย” ว่าของเขาดีจริง...


เพราะนอกจากความสามารถขั้นเทพในการปลุกระดมแล้ว ก็ยังอุดมด้วยความคิดสร้างสรรค์เต็มพื้นที่ไปหมด เป็นผู้นำอันดับต้นๆ ในการสร้างกระแส “แฟชั่น” ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า แฟชั่นสิ่งของเครื่องใช้ แฟชั่นอุปกรณ์การเชียร์


แม้แต่แฟชั่นทาง “ภาษา” ก็ยังสามารถนำคำธรรมดาที่เคยถูกใช้ในพื้นที่จำกัดมาทำให้เป็นคำ “ป๊อปๆ” ที่ใช้กันดาษดื่น


“ภาคประชาชน” คำที่เคยเรียกใช้กันเองในคนไม่กี่กลุ่ม ก็ได้การชุมนุมของพันธมิตรฯเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนี่เองที่ทำการตลาดให้ แม้ว่าระยะหลังผู้คนจะเริ่มสับสนสงสัยแล้วว่าอะไรคือ “ภาคประชาชน” กันแน่ บางคนแทบจะเข้าใจผิดไปเลยว่า จริงๆ แล้วภาคประชาชนแปลว่า ไม่เอาการเลือกตั้ง ปฏิเสธประชาธิปไตย แต่ยอมรับได้กับการรัฐประหาร...


ล่าสุด คำที่เคยอยู่แต่ในตำราวิชาสันติวิธีของอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่าง “อารยะขัดขืน” ก็ได้รับการปลุกปั้นให้เชิดหน้าชูตาเป็นที่รู้จักวงกว้างได้โดยสำเร็จ โดยเริ่มจากการประกาศ “ไม่จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภาษี ฯลฯ” ซึ่งแม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ประชาชนทั่วไปตื่นเต้นสนใจได้ว่า “นี่ล่ะหรือคืออารยะขัดขืน...”


ที่ทำให้โด่งดังกันสุดๆ ก็เมื่อพันธมิตรฯ เดินเกม “แหกตำรวจ ยั่วรัฐบาล หน้าด้านดื้อกฎหมาย” จากที่เคยนอกกติกา ก็หันมาเป็นนอกรัฐธรรมนูญ ทำลายสมบัติหลวง ช่วงชิงบุกยึดสถานที่ราชการ ระรานสิทธิและความสงบของประชาชนคนอื่นๆ ดื้อด้านขัดขืนไม่มอบตัวในข้อหากบฏ ฯลฯ


เหล่านี้กลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อทุกอย่างที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย” ทำมาแล้วทุกอย่างและใช้ข้ออ้าง “อารยะขัดขืน” ในการปกป้องเสรีภาพของตัวเองเอาไว้ แม้ในวันที่ศาลได้ออกหมายจับแล้วก็ตาม... จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า นับตั้งแต่มี “อารยะขัดขืน” ในมาตรฐานพันธมิตรปรากฏออกมา ความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้จะกลายเป็นที่โจษจันและตั้งข้อสงสัยมากแค่ไหน


จริงหรือไม่ที่เราจะ “ทำอะไรก็ได้” ตามแต่ความพอใจ


และถ้ามันผิดกฎหมายหรือทำลายกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน จะอ้างเพียงว่า “อารยะขัดขืน” เพื่อปฏิเสธการต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำได้แล้วกระนั้นหรือ


แท้จริงนั้น คำว่า “อารยะขัดขืน” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บุกเบิกวิชาการด้านความรุนแรงและสันติวิธีในประเทศไทย อ.ชัยวัฒน์ อธิบายว่า อารยะขัดขืน (Civil Disobedience) เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ต้อง “อารยะ” (ถูกต้อง ดีงาม เจริญแล้ว) ทั้ง “วิธีการ” และ “เป้าหมาย” จะขาดประการใดประการหนึ่งไปไม่ได้ และการกระทำนั้นต้องทำให้สังคมโดยรวมอารยะขึ้น หรือเจริญขึ้น สูงขึ้น ไปในทางที่ดีขึ้น


วิธีการอย่างอารยะจากมุมมองของ อ.ชัยวัฒน์ นั้น ยังต้องเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และที่สำคัญคือต้องยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้แนวทางอารยะขัดขืนหรือสันติวิธี เพื่อให้สังคมการเมือง “เป็นธรรม” ขึ้น “เคารพ” สิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็น“ประชาธิปไตย” ยิ่งขึ้น


ซึ่งหากว่ากันตามแนวทางของนักวิชาการเจ้าตำรับสันติวิธีท่านนี้เพียงท่านเดียวเสียก่อน ก็ต้องพิจารณากันว่าการกระทำของพันธมิตรฯ เข้าข่ายนี้สักกี่ข้อ


“วิธีการ” ของพันธมิตรฯ ดีงาม ถูกต้อง ปราศจากความรุนแรงเพียงใด


“เป้าหมาย” นั้นเล่า ได้เคารพมนุษย์คนอื่นๆ เพียงพอหรือไม่ เป็นไปเพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรมเท่าเทียม เพื่อความเจริญเติบโตและเข้มแข็งของสังคมการเมืองบ้างหรือเปล่า

ที่มา http://www.prachatouch.com/content.php?id=9750

ออกหมายจับแม้ว-อ้อเบี้ยวฟังคดีรัชดาฯ

ไร้เงา"ทักษิณ-พจมาน"ฟังคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ศาลออกหมายจับนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 14.00 น. วันที่ 21 ต.ค. ขณะที่ศาลแจ้งผลคำวินิจฉัยศาล รธน. ชี้ พ.ร.บ. ว่า ด้วย ป.ป.ช. มาตรา 4, 100, 122 ที่ฟ้อง “แม้ว” ไม่ขัด รธน. หลังอดีตนายกฯ ยื่นประเด็นโต้แย้งสิทธิความเสมอภาคบุคคลถือครองทรัพย์สิน ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เผยเป็นหน้าที่ตำรวจตามจับผู้ต้องหามาฟังคำพิพากษา ยินดีทำเรื่องขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหากประสานมา ระบุถ้าถึงวันนัดยังไร้เงา ขึ้นอยู่ที่ศาลว่าจะอ่านคำพิพากษาลับหลังหรือไม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.ย. นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรีและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 ม.4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 จากกรณีที่คุณหญิงพจมาน ประมูลซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยอัยการโจทก์มาศาล แต่จำเลยทั้งสองและทนายความจำเลยไม่มาศาล ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลติดประกาศหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว แต่จำเลย ทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษา จึงให้ออกหมายจับจำเลย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 32 วรรคสอง มาฟังคำพิพากษา และให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 21 ต.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ทั้งนี้ศาลยังได้แจ้งให้อัยการโจทก์ทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/ 2551 ที่จำเลยทั้งสองโต้แย้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100 และ 122 ที่ยื่นฟ้องคดีนี้ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เรื่องการถือครองทรัพย์สินของบุคคลหรือไม่ อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. มาตรา 26-29, 39 และ 43 ด้านนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงานรับผิดชอบคดี กล่าวว่า เมื่อศาลออกหมายจับ ก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในการติดตามตัวจำเลยทั้งสอง หาก สตช. ประสาน มายังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน อัยการก็มีคณะทำงานเตรียมพร้อมดำเนินแล้วโดยก่อนหน้านี้คณะทำงานได้ประสาน ขอข้อมูลการฟ้องคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ว่ายื่นฟ้องแล้วกี่คดี และคดีอยู่ในชั้นใดเพื่อเตรียมส่งข้อมูลให้อัยการฝ่ายต่างประเทศยื่นคำร้องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ หากศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 21 ต.ค. แต่ยังไม่ได้ตัวจำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษา ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะอ่านคำพิพากษาลับหลังหรือไม่ วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังหลบหนีคดี ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงก์ ให้แก่รัฐบาลพม่า วงเงิน 4,000 ล้านบาท ว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งออกหมายจับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องรอศาลส่งหมายจับก่อนเข้าสู่กระบวน การออกประกาศสืบจับ โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากร แล้วกระทำการกระจายประกาศสืบจับไปยังสถานีตำรวจ และด่านตรวจคนเข้าเมือง ทั่วประเทศ เพื่อติดตามจับกุมตัวตามคำสั่งศาล ก่อนทำการรายงานผลติดตามการจับกุมไปยังอัยการต่อไป ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายจับจากศาลแต่อย่างใด ส่วนการประสานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ต้องพิจารณาดูว่าจะมีผลต่อหมายจับเก่าที่เคยออกมาในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯอย่างไร อัยการต้องพิจารณาว่าจะเลือกใช้ หมายไหน ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกองคดีก็จะพิจารณาดูว่าหมายจับเก่าสิ้นสุดหรือไม่ด้วย.


ที่มา www.dailynews.co.th

มาทำความรู้จัก นายกรัฐมนตรีคนที่ 26กับครหาได้ดีเพราะ "เมียอุ้ม"

พร้อมประมวลภาพสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น "วงศ์สวัสดิ์" กับ "ชินวัตร"

ประวัติ:

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมรสกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)[2] มีบุตร 3 คนคือ นายยศธนัน วงศ์สวัสดิ์ นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และ นางสาวชยาภา วงศ์สวัสดิ์

การศึกษา:

สำเร็จการศึกษาจากนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2513 ต่อมาปี 2516 เข้าศึกษาต่อเนติบัณฑิตไทย (นบท.) สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อ 2539 ปริญญาบัตร หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 38 และในปี 2545 รัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชนมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

หน้าที่การงาน:

หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วสอบบรรจุเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา กระทรวงยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. 2517 ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาประจำกระทรวง พ.ศ. 2518 ผู้พิพากษาศาลแขวงเชียงใหม่ พ.ศ. 2519 จากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป้นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2520 แล้วจึงย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2526 จากนั้นย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพังงา พ.ศ. 2529 ต่อมาได้เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง พ.ศ. 2530 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2531 ย้านไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2532 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรี พ.ศ. 2533 เลื่อนตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พ.ศ. 2536 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 2 พ.ศ. 2540

ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายวิชาการ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นได้ย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายบริหาร พ.ศ. 2542 หลังจากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งสูงสุดเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม 11 พ.ย. 2542 หลังจากนั้นจึงย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน 8 มี.ค. 2549 - ก.ย. 2549

หลังจากเกษียณอายุราชการแล้วได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขานิติศาสตร์ พ.ศ. 2542- 2549 กรรมการเนติบัณฑิตยสภา, ประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ, กรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), กรรมการบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน), กรรมการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)[3], กรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), นกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.), กรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรรมการคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.), กรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.), กรรมการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.), กรรมการคณะกรรมการอัยการ (กอ.), กรรมการคณะกรรมการตุลาการ, กรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารแห่งชาติ, กรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

การดำรงตำแหน่งทางการเมือง:

ในปี พ.ศ. 2550 เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 รักษาการนายกรัฐมนตรี 17 กันยายน 2551 ได้รับการคัดเลือกจากสภา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์:

ปี 2542 เหรียญจักรพรรดิมาลา (จ.ม.ร.) ปี 2540 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ปี 2535 มหาวชิรมงกุฎไทย (ม.ว.ม.) ปี 2532 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) ปี 2529 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ปี 2527 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) ปี 2523 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)

ทั้งนี้ นายสมชาย ได้รับเสียงติติงมากมายโดยเฉพาะสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีคนที่ 25 ซึ่งถูกรัฐประหารยึดอำนาจไป เนื่องจากมีภรรยาเป็นน้องเขยของอดีตผู้นำ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแกนหลักของกลุ่มวังบัวบาน มุ้งใหญ่ส.ส.ทางเหนือของพรรคไทยรักไทย ทำให้เกิดข้อครหาว่าการขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศครั้งนี้เป็นเพราะ "ภรรยา" อุ้มสม !!

สิ่งที่จะต้องจับตาต่อไปคือ วาจาของว่าที่นายกฯ คนที่ 26 นี้ ที่ระบุว่า แม้จะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ แต่ยืนยันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางคดีใดๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะกระทำตามที่ได้ลั่นเอาไว้หรือไม่.

บรรดา​ญาติ​สนิท​ใน​ตระกูล​ชิน​วัตร​พร้อม​ข้าราชการ,พ่อค้า​และ​ประชาชน​ใน​อำเภอ​สัน​กำแพง​ร่วม​กัน​รดน้ำ​ดำหัว พ.ต.ท.​ทักษิณ ชิน​วัตร อดีต​นายกรัฐมนตรี​ระหว่าง​เดินทาง​มา​ทำ​พิธี​ไหว้​กู่ (ที่​เก็บ​อัฐิ) ของ​คนใน​ตระกูล​ชิน​วัตร​ที่​ตั้ง​อยู่​ภายใน​วัด​โรง​ธรรมสามัคคี อ.​สัน​กำแพง จังหวัด​เชียงใหม่ ซึ่งรวมไปถึงญาติสนิทอย่าง

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยาและบรรดาญาติพี่น้องตระกูลชินวัตรเข้านมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิทั่วทั้ง จ.นครศรีธรรมราช โดยเริ่มต้นจากการเข้านมัสการเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทำพิธีบวงสรวงองค์จตุคาม ไหว้ศาลหลักเมือง พิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อช่วยสะเดาะห์เคราะห์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ตกเป็นจำเลยในหลายคดี

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยาและบรรดาญาติพี่น้องตระกูลชินวัตรเข้านมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิทั่วทั้ง จ.นครศรีธรรมราช โดยเริ่มต้นจากการเข้านมัสการเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทำพิธีบวงสรวงองค์จตุคาม ไหว้ศาลหลักเมือง พิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อช่วยสะเดาะห์เคราะห์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ตกเป็นจำเลยในหลายคดี

ที่มาจาก : Matichon Online

"สมชาย"เคลียร์รอบทิศ "ผบ.ทบ."ไม่ขัด กลุ่มเนวินยอม-แลก"รมต."

"สมชาย"ลอยลำนั่งนายกฯคนที่ 26 แน่ หลังจับเข่าคุย"เนวิน"หลายรอบ เผยถูกต่อรองขอโควต้า รมต.เพิ่มอีก 1 กระทรวง หวังคว้าพุงปลา"คมนาคม" แต่ไม่เอา"สันติ พร้อมพัฒน์" อ้างไม่ได้อยู่ในกลุ่ม"เพื่อนเนวิน" พรรคร่วม รบ.ค้านยุบสภา "ปชป."เตือน"เยาวภา"ถูก ป.ป.ช.สอบร่ำรวยผิดปกติ แกนนำ 6 พรรคร่วมดินเนอร์สบายใจก่อนแถลงจับขั้วรอบ 2กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชาชน จำนวน 72 คน ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 16 กันยายน พร้อมสนับสนุนการเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังจากเข้าร่วมประชุมพรรค เมื่อเวลา 13.00 น. โดยนายสมชายได้ชี้แจงข้อข้องใจของกลุ่มเพื่อนเนวินทั้งหมด จนเป็นที่เข้าใจ ก่อนที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนจะร่วมกันลงมติสนับสนุนการเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนใหม่ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเช้าวันที่ 17 กันยายนร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงเมื่อเวลา 15.30 น. ว่า ขอยืนยันว่าในวันที่ 17 กันยายน เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา จะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของไทยอย่างแน่นอน

Politics and Government Group

" เยาวชนประชาธิปไตย "


นายอธิป เชาวน์หมื่นไวย ชื่อเล่น " แบงค์ "


สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์


รหัสนักศึกษา 5131601569


E-mail :
atip_chaomunwai@hotmail.com


คติประจำใจ " คนที่มาเหนือเมฆย่อมมองไม่เห็นรากไม้ "

" กรุงโรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้สร้างเสร็จเพียงแค่วันเดียว "



นายพร้อมสิทธิ์ เทียนไชย ชื่อเล่น " ตอง "

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์

รหัสนักศึกษา 5131601419

E-mail : thetongman@hotmail.com

คติประจำใจ " กระบี่คมอยู่ที่ใจ แค่ไม้ใผ่ก็ไร้เทียมทาน "




นางสาวศิตาภา คำขาว ชื่อเล่น แสตมป์


สำนักนิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์


รหัสนักศึกษา 5131601507




คติประจำใจ

การค้นพบถึงความดีงาม

ที่แท้จริงย่อมเกิดจาก

การแลเห็นคุณค่า

ความหมายของประสบการณ์

แม้ที่ธรรมดาสามัญ





นางสาวปัญจรส พานทอง ชื่อเล่น " นุ่น "

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์

รหัสนักศึกษา 5131601394

E-mail : Ninty_nunn@hotmail.com

คติประจำใจ " ทุกๆวันเป็นวันที่สำคัญ "


นางสาวพรนภัส ณ เชียงใหม่ ชื่อเล่น " แนน "

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์

รหัสนักศึกษา 5131601412

E-mail :
Nan_pooh16@hotmail.com

คติประจำใจ " ทำวันนี้ให้ดีที่สุด "



นายวัฒนา อาษาดี ชื่อเล่น " ต๋อง "

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์

รหัสนักศึกษา 5131601481

E-mail : wattana_arsadee@hotmail.com

คติประจำใจ " แม้เส้นทางที่เราเลือกจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่นั่นก็เป็นเส้นทางที่เราเลือกเอง "


นางสาวจุทารัตน์ พงศาปาน ชื่อเล่น "ปราง"

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชา นิติศาสตร์

รหัสนักศึกษา 5131601282

E-mail : chutarat_41@hotmail.com

คติประจำใจ "ขยัน พาไปถึงฝัน"


นางสาว อุทัยทิพย์ จันทะวาลย์ ชื่อเล่น ใบพลู

สำนักวิชา นิติศาสตร์ สาขา นิติศาสตร์

ระหัสศึกษา5131601592

E-mail : nubaipool@hotmail.com

คติประจำใจ ประสบการณ์คือบทเรียน



นางสาว มัลลิกา อีโซมูระ ชื่อเล่น มาริโกะ

สำนักวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์


รหัสนักศึกษา 5131601452


E-mail : mari_iso_tmt@hotmail.com


คติประจำใจ ใครจะมาดูถูกเราไม่สำคัญตราบใดที่เราไม่ดูถูกตัวเอง

น.ส.เบญจวรรณ วงศ์เสรีนุกุล

ID : 5131601381


น.ส.ธัญญา แตงน้อย
ID: 5131601343

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ในหลวงให้ซื่อสัตย์ บ้านเมืองจะอยู่รอด


วันที่ 15 กันยายน เวลา 17.27 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองชั้นต้น เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ในโอกาสนี้ น.ส.พรทิพย์ ทองดี เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย วโรกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสว่า ท่านผู้เป็นผู้พิพากษาศาลปกครองซึ่งได้ทำการปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความร่มเย็นของประเทศชาติ การจะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญ เพราะประชาชนต้องการความซื่อสัตย์สุจริต ถ้ามีผู้ที่ปฏิบัติงานมีความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ก็ทำให้สบายใจ และสามารถที่จะปฏิบัติงานต่างๆ ของประชาชนได้โดยดี ท่านก็ต้องปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตดังกล่าวนี้ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขสบายใจของประเทศชาติ ท่านมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนที่สำคัญ เพราะท่านมีความรู้ ท่านสามารถจะแสดงความรู้นี้ และทำให้ประชาชนดูผู้ที่ปฏิบัติดีเป็นตัวอย่าง ในเวลาเดียวกันท่านก็เป็นตัวอย่างกับผู้ที่ทำหน้าที่ต่อไปด้วย ฉะนั้นก็ที่ท่านได้ปฏิญาณตนเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องปฏิบัติตามที่ท่านปฏิญาณ ถ้าไม่ปฏิบัติตามที่ปฏิญาณก็ทำให้คนเขาเสียใจ คนเขาผิดหวัง ถ้าคนผิดหวังเป็นอันตรายมาก สำหรับการปกครองประเทศและความเป็นอยู่ของประเทศ ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้กล่าวไว้แก่ตัว เพื่อที่จะให้เป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะให้ทุกคนมองว่า มีผู้ที่ปฏิบัติตัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นธรรมดา คำว่าเป็นธรรมดานี้สำคัญ เพราะแสดงถึงว่าท่านทำความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ ทำให้ผู้ที่เป็นประชาชนทั่วๆ ไปก็จะไปทำงานอะไรมีความซื่อสัตย์ เพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่เหมือนกัน ขอให้ท่านเข้าใจที่พูดนี้ว่าสำคัญแค่ไหน ถ้าท่านเข้าใจและปฏิบัติ ท่านจะเป็นผู้ที่ได้ช่วยประเทศชาติอย่างดี ได้ทำหน้าที่สำหรับเป็นตัวอย่าง ทำหน้าที่ผู้ที่เป็นคนดี และก็ได้ทำหน้าที่มีความดี เพื่อที่จะมีคนที่ดี ท่านมีจำนวนไม่มาก แต่เมื่อผู้ที่ได้เห็น ได้ทำตาม มีจำนวนเป็นหลายร้อยหลายพัน เป็นหลายหมื่น และถ้าทุกคนทำตาม ทำหน้าที่ตามวิธีที่ท่านทำเพื่อบ้านเมืองก็อยู่รอดได้ ไม่มีปัญหา ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติงานอย่างดี และขอให้ท่านทำงานอย่างดีด้วยความร่าเริง มีความตั้งใจที่ต่อเนื่อง ดังนั้นท่านจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์แก่บ้านเมือง ทำให้คนทั่วไปเขามีความหวัง ขอให้ท่านอยู่ได้สามารถปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อย ด้วยความมีใจที่ร่าเริง และใจที่ซื่อตรง อย่างที่ท่านได้ปฏิญาณ ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติอย่างมาก เราขอให้ท่านอยู่เย็นเป็นสุข มีความร่าเริงในใจ มีความซื่อสัตย์ในใจ และขอให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นประโยชน์ และท่านก็จะรู้สึกว่าทำประโยชน์นี้มีความสำคัญมากสำหรับประเทศชาติ ขอให้ท่านทำด้วยความสำเร็จทุกอย่าง เพื่อความดีของประเทศชาติ ความเจริญของประเทศชาติ เราพูดถึงประเทศชาติเสมอ แต่ว่าเราบางทีลืมประเทศชาติ แต่ถ้าไม่ลืม ท่านจะได้ประโยชน์มากสำหรับคนต่อๆ ไป ขอให้ท่านมีความเข้มแข็ง แข็งแรง ขอให้ท่านได้มีความกล้าหาญที่จะทำงาน มีความดีดังกล่าวนี้และท่านจะประสบความสุข ความสำเร็จในงานการ ขอให้ท่านมีความสุข ความสำเร็จในงานการตลอดเวลาที่ท่านทำหน้าที่ และขอให้ท่านมีความสำเร็จทุกประการ


พันธมิตร คิดล้มใคร?


แทบทุกคนจะถามกันอย่างงุนงงว่า กลุ่มที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นั้น ความต้องการที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่ จากจุดเริ่มต้นในการต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลายมาเป็นขบวนการที่อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน และนำมาสู่การต่อต้านรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชด้วยความรุนแรง จนถึงขั้นบุกยึดทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ทางราชการต่างๆ อย่างไม่เกรงฟ้าดิน
จนทำให้คนทั่วโลกเขารู้สึกว่าเมืองไทยไร้กฎหมาย กลายเป็นเมืองที่ไร้ขื่อแปไปเสียแล้ว
พันธมิตรฯ ต้องการอะไร?
ใครหนุนหลังพันธมิตรฯ?
เขาคิดล้มใครหรือล้มอะไรกันแน่?
ผมเองก็ใคร่ครวญหาคำอธิบายอยู่นานพอสมควร พยายามฟังคำหยาบคายต่างๆ ที่สาดใส่กันอยู่บนเวทีอย่างจริงจัง ก็ไม่ได้คำอธิบายที่พึงใจ แต่ในที่สุดผมก็ไปอ่านบทความสั้นๆ ที่ใครไม่รู้เขียนเอาไว้อย่างคนที่ติดตามสถานการณ์ต่างๆ ในมิติที่ลึกซึ้ง ก็ให้บังเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมก็เลยกราบขออนุญาตท่านผู้เขียนนำมาเสนอซ้ำที่ตรงนี้ หวังว่าท่านคงจะไม่ติดใจอะไรในเชิงลิขสิทธิ์ และเอาบ้านเมืองไว้ก่อนเป็นสำคัญ
เชิญชมครับ “ปฏิบัติการยึดเมืองในนาม “ยุทธการไทยคู่ฟ้า “อย่างอุกอาจของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ตั้งแต่เช้าวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของผู้นำอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล และจำลอง ศรีเมืองที่ชัดเจนว่า พร้อมจะใช้รูปแบบของการยึดอำนาจแบบเดียวกันกับที่กลุ่มบอลเชวิกในรัสเซียใต้การนำของลีออน ทรอตสกี้กระทำในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 ซึ่งตรงกันข้ามกับคำประกาศ”อารยะขัดขืน”ที่เคยชูขึ้นมาเป็นกลยุทธ์การต่อสู้ตั้งแต่แรกอย่างสิ้นเชิง
การกระทำดังกล่าว ยืนยันชัดเจนถึงการยกระดับทางยุทธศาสตร์ของการต่อสู้จากคอมมูนมัฆวานฯ(สร้างรัฐซ้อนรัฐ) มาสู่การยึดอำนาจรัฐโดยตรง(โค่นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เพื่อสร้างการเมืองใหม่) ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างหมดเปลือก เดือนมิถุนายนกลุ่มพันธมิตรฯได้ประกาศยกระดับการชุมนุมจากต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาเป็นการโค่นล้มรัฐบาลสมัคร โดยจัดกำลังเพื่อชุมนุมยืดเยื้อโดยใช้เขตยึดครองที่ถนนราชดำเนินแถวสะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นเมืองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยราชดำเนิน) โดยจำลอง ศรีเมือง ได้ขยายความว่าเป็น "สถานที่ชุมนุมเริ่มเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์" ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันด้วยระเบียบวินัย การทำอะไรต้องฟังเสียงคนหมู่มาก ทุกคนสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระเสรี ปลอดจากอำนาจรัฐบาลสมัคร การตั้งเขตอำนาจรัฐใหม่ดังกล่าว ได้รับการยกยอจากนายสุรพงศ์ ชัยนาม อดีตนักการทูตที่ยืนอยู่ข้างเดียวกันว่า คล้ายคลึงกับ New Harmony Society เมืองอุดมคติของสังคมนิยมเพ้อฝันโดยโรเบิร์ต โอเวนใน ค.ศ. 1817 ที่อเมริกา (โดยไม่ยอมพูดถึงข้อเท็จจริงว่า ชุมชนดังกล่าวล้มตั้งแต่เริ่ม)
โดยสาระ เมืองพันธมิตรฯนี้ มีลักษณะสำคัญคือ
- เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์สู้รบทางการเมืองชั่วคราว
- เป็นเขตปลอดอำนาจรัฐที่สมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี
- เป็นรัฐชั่วคราวที่ปราศจากชนชั้น และต้องการสร้างระบบพึ่งพาตนเองชั่วคราวเพื่อตรึงสถานการณ์ต่อสู้เอาไว้ให้ครบครัน
- เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวทางของกลุ่มพันธมิตรฯต่อสาธารณะอื่นๆ หากได้รับชัยชนะในการต่อสู้ เพื่อขยายผลออกไปในระยะยาว


ที่มา


รับดัน 'สมชาย' เป็นนายกฯ พปช. กลุ่มเพื่อนเนวินถอย


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (16 ก.ย.) ว่า ขณะนี้ การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชาชน (พปช.) ณ ที่ทำการพรรคฯ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อสรรหาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นลงแล้วหลังใช้เวลาประชุมไม่ถึง 30 นาที โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ที่จะเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกฯ

ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองโฆษกพรรคพลังประชาชน นำ ส.ส.พรรคพลังประชาชนกลุ่มเพื่อเนวินจำนวนหนึ่ง แถลงข่าวที่ห้องสื่อมวลชน ระบุว่า กลุ่มยอมรับที่จะทำตามมติพรรคฯ ในการจะเสนอชื่อนายสมชายเป็นนายกฯ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และได้อ่านแถลงการณ์ของกลุ่มฉบับที่ 2 เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่ม



ออกหมายจับ ทักษิณ คดี Exim Bank


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับทักษิณคดีExim bankเพราะจงใจหลบหนี-สั่งพักคดีรอจำเลยขึ้นศาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีที่สั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) อนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 4 พันล้านบาทให้แก่รัฐบาลพม่า เนื่องจากเห็นว่ามีเจตนาหลบหนีคดี พร้อมทั้งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวก่อนจนกว่าจะตามตัวจำเลยมาสอบคำให้การได้วันนี้ ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาคดีดังกล่าวครั้งแรก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เดินทางมาปรากฎตัวต่อศาล เนื่องจากได้เดินทางออกนอกประเทศไปพักอยู่ที่ประเทศอังกฤษก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก เนื่องจากไม่มารายงานตามกำหนดเวลาหลังอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ และศาลฎีกาฯ ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 ก.ย.นี้

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ตำรวจยืนยันจับแน่ 9 แกนนำพันธมิตรฯแต่ไม่ใช่ตอนนี้ [16 ก.ย. 51 - 05:06]


วานนี้ (15 ก.ย.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศนัดรวมพลที่สนามหลวง ในวันศุกร์นี้ (19 ก.ย.) โดยไม่รับรองว่าจะไม่เกิดเหตุปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า อยากจะวิงวอนแกนนำ นปช.ทบทวนประกาศและแจ้งวัตถุประสงค์การชุมนุมกับประชาชนก่อนวันนัดหมายว่าจะมาเพื่ออุดมการณ์ มีวัตถุประสงค์อื่นหรือจะพาคนมาตายอย่างครั้งที่แล้ว เพราะที่ผ่านมาประชาชนไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะมีการปะทะ
"ทุกคนมีครอบครัวเช่นเดียวกับแกนนำ การชักชวนมาร่วมชุมนุมและหากเกิดเหตุรุนแรง ประชาชนผู้บริสุทธิ์เท่านั้นที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ ตำรวจจะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทั้งในชีวิตทรัพย์สิน โดยเฉพาะการจราจร ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกหนักและมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ยิ่งเกิดปัญหาหนัก ตำรวจจะทำงานมากขึ้นและหนักขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร" รองโฆษก สตช.กล่าว
ส่วนหมายจับ 9 แกนนำ กลุ่มพันธมิตรฯ ที่หลายฝ่ายท้วงติงเรื่องการจับกุมนั้น พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ขอยืนยันว่าจะมีการจับกุมแน่นอนแต่ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ เนื่องจากอาจส่งผลให้บ้านเมืองวิกฤติยิ่งขึ้น และขณะนี้ได้ส่งสายสืบติดตามความเคลื่อนไหวทั้ง 9 คน หากออกจากทำเนียบรัฐบาลและสถานการณ์คลี่คลายจะดำเนินการตามกฎหมายทันที จึงขอให้ทุกฝ่ายอย่าได้วิตกกังวล ตำรวจขอยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

พธม.หางโผล่ค้านทุกเรื่องที่แท้จ้องล้มประชาธิปไตย


ดื้อด้านที่สุด! “พันธมิตรฯ” ไม่หยุดคิดทำลายชาติ ทำลายประชาธิปไตย ปัดทุกข้อเสนอ-ทางออกของทุกฝ่ายที่ต้องการเห็นความสงบสุขในบ้านเมือง ยืนยันต้อง “การเมืองใหม่” เท่านั้น โดยไม่ยอมฟังเสียงค้าน ที่ห่วงเป็นการทำลายประชาธิปไตย สถาปนาอำนาจใหม่ที่เป็นของคนแค่บางกลุ่มบางพวก เป็นห่วงพาเมืองไทยถอยหลังไปหลายสิบปี
ท่ามกลางความพยายามของทุกฝ่ายที่จะประนีประนอมเพื่อยุติปัญหาและสร้างสันติสุขในบ้านเมือง แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นชนวนของปัญหามาตั้งแต่ต้น จน 9 ผู้นำถูกออกหมายจับในข้อหากบฏ กลับปฏิเสธการเจรจา ปฏิเสธทางออกของบ้านเมืองทุกแนวทาง โดยได้เปิดเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นกันชัดเจนแล้วว่า การเรียกร้องตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่แท้แล้วก็เพราะต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย สถาปนาการเมืองใหม่ ลิดรอนอำนาจของประชาชนในการเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารบ้านเมือง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขต กทม. นั้น เกิดจากความพยายามสร้างสถานการณ์ของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลก่อเรื่องเองก็แล้วแต่รัฐบาลจะพิจารณา การยกเลิก พ.ร.ก. ไม่มีผลอะไรกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ เชื่อว่าได้ชุมนุมอย่างถูกต้องมาตั้งแต่ต้น
ส่วนเรื่องรัฐบาลแห่งชาติยังเป็นรัฐบาลของนักเลือกตั้ง พันธมิตรฯ ไม่ยึดติดกับพรรคการเมืองใด และเห็นว่านักเลือกตั้งที่มีอยู่ควรยุติบทบาทการเมือง และเปิดโอกาสให้การเมืองใหม่เข้ามา การยุบสภาการเมืองยังอยู่ในวังวนเดิม เลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเก่ากลับมา พันธมิตรฯ ยังคงยึดมั่นเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังเป็นนามธรรมอยู่ จึงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันคิดเพื่อให้เป็นรูปธรรม โดยคนไทยต้องยอมรับถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หากมีการเลือกตั้งใหม่จะได้นักเลือกตั้งคนเดิม จึงต้องมีการเมืองใหม่ที่มีตัวแทนของสาขาอาชีพเข้าไปเป็นตัวแทน
ด้าน นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงกรณีที่มีผู้เสนอให้ยกเลิกข้อหากบฏกับ 9 แกนนำพันธมิตรฯ แลกกับการนิรโทษกรรม 111 อดีต กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยว่า ความคิดดังกล่าวเป็นความคิดที่โง่และบ้า เพราะในกรณีของ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว โดยมีความชัดเจนว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ส่วนกรณีของ 9 แกนนำพันธมิตรฯ เป็นข้อหาที่ยังไม่ได้พิสูจน์ และจะมีการอุทธรณ์จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
ส่วน นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวย้ำไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พร้อมระบุพันธมิตรฯ จะไม่ยุติการเคลื่อนไหว จนกว่าทุกพรรคการเมืองจะยอมรับและมาร่วมผลักดันการเมืองใหม่ตามแนวคิดของพันธมิตรฯ ให้เกิดขึ้น นายสนธิ ยังได้เปิดประเด็นหนทางสู่การเมืองใหม่ โดยเสนอเบื้องต้นให้คงไว้เฉพาะสมาชิกวุฒิสภา และให้ใช้อำนาจตุลาการยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกระบวนการสรรหาที่ต่างไปจากปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าไปเป็น ส.ส.
ทั้งนี้ ในขณะนี้กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศบนเวทีตลอดเวลาว่าจะไม่รับเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น โดยปลุกระดมผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่องว่า หนทางสู่การเมืองใหม่ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะผู้ชุมนุมเองก็ยังไม่เข้าใจเงื่อนไขที่แฝงเร้นของเรื่องดังกล่าว โดยที่ก่อนหน้านั้นนักวิชาการ ผู้รู้ และนักการเมืองหลายคน ก็ได้ออกมาชี้ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดดังกล่าวขัดต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตย ในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการลิดรอนบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมปกครองบ้านเมือง ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐธรรมนูญพยายามให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน ที่พันธมิตรฯ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การดำเนินการตามแนวทางของพันธมิตรฯ ก็จะต้องมีการแก้ไขเช่นเดียวกัน และจะถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกครั้งหนึ่งของบ้านเมืองเลยทีเดียว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะถอยหลังเข้าคลอง และสุ่มเสี่ยงที่คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจะสถาปนาอำนาจเพื่อตัวเองและพวกพ้องได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


ความหมาย ของ "ริบบิ้นสีขาว"



ร่วมกันติดริบบิ้นขาว ยุติความรุนแรงต่อสตรี25 พฤศจิกายน 2547 ถือเป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่งของผู้หญิงทั่วโลก เนื่องเพราะเป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล ซึ่งหลายต่อหลายคนคงเห็นสัญลักษณ์ “ริบบิ้นสีขาว” ปรากฏเผยแพร่ตามสถานที่ต่างๆ กันบ้างแล้วอย่างไรก็ตาม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนจำนวนไม่น้อยคงยังไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาและความหมายที่อยู่เบื้องหลังริบบิ้นสีขาวการรณรงค์ติดริบบิ้นสีขาวเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี


ได้ริเริ่มจัดทำขึ้นในประเทศแคนาดาในปี พ.ศ.2534 โดยกลุ่มผู้ชายอาสาสมัครจำนวนประมาณ 1,000,000 คน ที่มองเห็นถึงความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรีและแสดงตนว่าจะไม่เป็นผู้กระทำรุนแรงต่อสตรี โดยการติดสัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาวที่ปกเสื้อเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เริ่มจากวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล และองค์การสหประชาชาติได้รับมาเป็นสัญลักษณ์สากลเพื่อร่วมกันรณรงค์ทั่วโลกริบบิ้นสีขาวนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้ชายติดเพื่อแสดงถึงการร่วมกันต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อสตรี


โดยยอมรับว่าจะไม่ทำร้ายหรือนิ่งเฉยต่อการใช้ความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบสำหรับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากับผู้หญิง เด็กหรือแม้แต่กับผู้ชาย พบว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย กล่าวคือมากกว่าร้อยละ 90 ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี เพราะโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครที่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ผู้ที่ใช้ความรุนแรงมักจะมาจากผู้มีประสบการณ์ไม่ดีในวัยเด็กหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ปลูกฝังว่า การใช้ความรุนแรงเป็นอำนาจที่จะใช้ควบคุมหรือบังคับผู้อื่นได้ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงไม่ได้มีเฉพาะการทำร้ายร่างกายเท่านั้น ยังพบว่ามีรูปแบบการใช้ความรุนแรงอีกหลายลักษณะ เช่นการใช้ความรุนแรงต่อจิตใจ อารมณ์ การทำความรุนแรงทางวาจา ความรุนแรงในที่ทำงาน และความรุนแรงที่แสดงออกทางพฤติกรรมอื่นๆ ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้มักไม่ค่อยมีการพูดถึงกันจึงทำให้ปัญหาความรุนแรงยังคงสะสมอยู่ตลอดมาส่วนการรณรงค์ติดริบบิ้นสีขาวนั้น เป็นการรณรงค์สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ชายทุกคนได้ปรับเปลี่ยนเจตคติและมีส่วนร่วมในการยุติปัญหาความรุนแรงต่อสตรี โดยเห็นว่า ความรุนแรงต่อสตรีเป็นปัญหาที่สำคัญสมควรได้รับการแก้ไข เนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่มีผลกระทบต่อผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่มีผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน ครอบครัว สังคม ชุมชนดังนั้น ในเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงขอเชิญชวนผู้ชายไทยทุกคน ร่วมกันติดริบบิ้นสีขาว เพื่อร่วมกันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี

ชวน ระบุยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่ง

ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ระบุการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ระดับหนึ่ง ไม่วิตกกรณี นปช.จะชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีการตีกัน เจ้าหน้าที่ต้องดูแล
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า เมื่อแนวความคิดยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ดูแลโดยตรง ก็ถือว่ามีน้ำหนัก ส่วนการลงทุนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่นั้น ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันที ต้องมีสิ่งอื่นมาประกอบ ประกาศเพียงแค่ฉบับเดียวอาจลดความวิตกกังวลของภาพพจน์บ้านเมืองไปได้ส่วนหนึ่ง
เมื่อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าหลังจากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วอาจทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายชวน กล่าวว่า การปะทะกันที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ก. แต่อยู่ที่ว่ามีกระบวนการทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น ซึ่งนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน ได้ยื่นเรื่องให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปะทะกันของทั้ง 2 กลุ่มหรือไม่ และหากข้อเท็จจริงปรากฏออกมาเหตุการณ์ตึงเครียดจะเบาบางลง
ต่อข้อถามว่า ทางกลุ่ม นปช.ระบุว่าจะนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.นี้ อาจเกิดการปะทะกันอีก นายชวน กล่าวว่า การชุมนุมสามารถทำได้หากปราศจากอาวุธไม่ว่าจะกลุ่มใดก็ตาม แต่หากมีการยกพวกไปตีกัน ตรงนี้ถือว่านอกเหนือการชุมนุมโดยสงบ เจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้าไปดูแล




ขอขอบคุณhttp://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTU1MzI5Jm50eXBlPXRleHQ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

พธม.ลั่น ส.ไหนก็ไม่เอา ชู'สภาประชาภิวัฒน์' [15 ก.ย. 51 - 04:21]


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ก.ย. ที่ห้องสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ แถลงข่าวต่อกรณี การเคลื่อนไหวกดดันบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่าต้องติดตามสถานการณ์ ไปก่อน สำหรับรายชื่อ 3 ส. ที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็น ส. ไหน ก็รับไม่ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้ทำผิดกฎหมายมาแล้วทั้งสิ้น เช่น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ที่มติ ครม.ขัดรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ไม่ว่าใครที่มาจาก ครม.ชุดนี้ถือว่า ขายชาติ จึงขาดคุณสมบัติที่จะมาบริหารประเทศชาติ ส่วนที่จะมีการเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ เห็นว่าเป็นความคิดของพวกที่อยู่ในอาจมก็ต้องยอมรับกันได้อยู่แล้ว เชื่อว่าประเทศไทยคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดหาใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้
ย้ำไม่เอานายกฯ จาก พปช.-พรรคร่วม
นายสมศักดิ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพันธมิตรฯ จะไม่ยอมรับตัวแทนจากทั้งพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลแน่นอน เพราะคนพวกนี้เคยสมคบกันกระทำผิด เมื่อก่อนอยู่รวมกันแล้วถูกซื้อตัวไป เมื่อ แตกแล้วก็มารวมกันใหม่ เป็นซ่องโจรอีก อย่างนี้เรารับไม่ได้ ส่วนพรรคที่ยังไม่กระทำผิดเราจะไปว่าหรือห้ามอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้นคนเหล่านี้ควรยุติบทบาททางการเมือง เพราะหากบริหารบ้านเมืองประเทศชาติคงไม่มีอนาคต และยิ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าคนเหล่านี้เขามาในสภา โดยการซื้อเสียง และเคยโกงกินมาก่อน จะมีใครกล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่เคยซื้อเสียงเข้ามา ดังนั้นเราจึงต้องทำการเมืองใหม่ เพื่อกำจัดคนประเภทนี้ออกไป
ฉุน ปชป.พลิกหนุน “สมชาย”
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ออกมาสนับสนุนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มพันธมิตรฯ ยอมรับได้หรือไม่ พล.ต.จำลอง ตอบว่า เราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่พันธมิตรเพื่อประชาธิปัตย์ ดังนั้น จะเอาไปเปรียบเทียบกันไม่ได้ เขาคือนักการเมือง นักเลือกตั้ง แต่พันธมิตรฯไม่ใช่ เราไม่ได้เอาพรรคใดมาเป็นสรณะ เมื่อถามว่า หากมีการยุบสภากลุ่มพันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.จำลองตอบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของพันธมิตรฯ เพราะบทบาทของเราคือการหยุดยั้งความชั่วร้ายและเข้ามาทำการเมืองใหม่ อย่างไรก็ตาม การยุบสภายังมาไม่ถึง ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์
ด่าซ้ำ รบ.แห่ง ปชป.การเมืองน้ำเน่า
ส่วนแนวคิดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้มีรัฐบาลแห่งชาตินั้น พล.ต.จำลองตอบว่า รัฐบาลแห่งชาติ ก็เหมือนรัฐบาลแห่งพรรคของประชาธิปัตย์ เพราะแนวคิดดังกล่าวเป็น การเอานักการเมืองน้ำเน่าเก่าๆ ที่มะรุมมะตุ้มอยู่ในสภาฯ ก็เปรียบเสมือนการพายเรืออยู่ในอ่าง เอาของเน่ามาผสมกับของเน่าก็ทำให้ยิ่งเน่าไปใหญ่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้
ระบุนายกฯแต่งตั้งดีกว่าเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามแนวทางการเมืองใหม่ พล.ต.จำลอง ตอบว่า การเมืองใหม่ที่พันธมิตรฯเสนอยังคงเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ การเลือกตั้งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยนักการเมืองต้องมาจาก 2 ส่วนคือ มาจากการเลือกตั้ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหาจากวิชาชีพ เพราะหากยังเป็นการเลือกตั้งแบบเดิม จะทำให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีทางเข้ามาได้ จะมีก็แต่นักการเมืองเพียงไม่กี่กลุ่มที่สลับกันยึดครองประเทศเหมือนเดิม ปัญหาของประชาชนก็ไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ เราจะไปเอาอย่างประเทศฝั่งตะวันตกที่เลือกตั้งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เพราะไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทย
ด้านนายสมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้เราต้องตื่นและอยู่กับความเป็นจริง คนไทยต้องเชื่อมั่นในระบอบวัฒนธรรม และจุดยืนของความเป็นไทย อย่าไปยึดติดกับตำราฝรั่ง ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเราไม่ได้บอกว่าจะต้องมาจากคนนอก แต่ที่ผ่านมานายกฯเรามีตัวอย่างนายกฯแต่งตั้งที่ดีคือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และนายอานันท์ ปันยารชุน ที่แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีผลงานมากมาย ดีกว่านายสมัคร สุนทรเวช นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พ.ต.ท.ทักษิณที่โกงการเลือกตั้งเข้ามา
เมื่อถามว่า แสดงว่าพันธมิตรฯต้องการนายกฯ คนนอกใช่หรือไม่ พล.ต.จำลองตอบว่าไม่ใช่อย่างนั้น นี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่าง การเมืองใหม่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ควรมีสัดส่วนมาจากการสรรหา อย่าให้พวกนักการเมือง มาครองสภาฯแบบเก่าอีก และจะเห็นว่านักการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง ส่วนใหญ่จะดีกว่าการเลือกตั้ง
พธม.ลั่นไม่รับรัฐบาล พปช.
กระทั่งเวลา 21.25 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยอ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 22/ 2551 ของพันธมิตรฯ เพื่อประกาศจุดยืนกรณีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยระบุว่า “รัฐบาลประชาภิวัฒน์เท่านั้นที่จะแก้ไขวิกฤติชาติได้” ทั้งนี้ ในแถลงการณ์อ้างถึงแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 และกล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดขบวนการและความพยายามในการบิดเบือนข้อมูล แอบอ้างความเรียบร้อยและความสงบเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงเพื่อมิให้ประชาชนสนใจต่อนักการเมืองที่ไร้จริยธรรม ทุจริตคอรัปชัน ขายชาติ และย่ำยีกฎหมาย พร้อมๆ กับความพยายามที่จะนำเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหุ่นเชิดเพื่อให้พรรคพลังประชาชนแสวงประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวไม่มีสิ้นสุด ดำรงวิกฤติที่สุดในโลกและความล่มจมประเทศชาติต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีภรรยาถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตคอรัปชันและร่ำรวยผิดปกติ, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรมหุ่นเชิด ผู้ที่ได้โยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เป็นคนใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชินวัตร หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ที่มีประวัติด่างพร้อยร่วมกับรัฐบาลทักษิณออกสลากพิเศษ 2 ตัว และ 3 ตัวโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนแสดงพฤติกรรมช่วยเหลือในการคืนเงินที่อายัดให้กับครอบครัวชินวัตร ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงไม่ต้องการ “นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดหรือรัฐบาลผสมที่มีส่วนร่วมจากพรรคพลังประชาชน”
เสนอจัดตั้ง “สภาประชาภิวัฒน์”
นายสนธิยังกล่าวถึงจุดยืนของพันธมิตรฯอีกว่า ไม่ต้องการรัฐบาลแห่งชาติที่มาจากการส่งตัวแทนทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงไม่ต้องการ การรัฐประหารเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง พร้อมเสนอทางออกในการแก้วิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ด้วยการให้มี “รัฐบาลประชาภิวัฒน์” ซึ่งมีหลักการคือ ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ โดยขอให้นักการเมืองในรัฐสภายอมเสียสละพื้นที่ของตัวเอง ยอมให้บุคคลที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสามารถ และมีความจริงใจในการแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง ให้เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง และปราศจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มทุน และให้รัฐบาลประชาภิวัฒน์เข้ามาดำเนินการภารกิจเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง ทั้งนี้ รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะมาจากองค์กรประชาชนทุก ภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ เพื่อกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศชาติร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทั้งเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อความเป็นธรรมในสังคม และรับผิดชอบโดยให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง ร่วมกำหนด “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่วมกับประชาชน เพื่อทำให้เกิด “สภาประชาภิวัฒน์” ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย กว้างขวาง เพื่อนำพาประเทศให้พ้นจากวิถีการเมืองแบบเดิม ที่เอื้อต่อการทุจริต คอรัปชัน ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบ และไม่ตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน

สนธิย้ำไม่รับรัฐบาลพปช. ชูตั้ง'สภาประชาภิวัฒน์' [15 ก.ย. 51 - 03:30]


เมื่อกลางดึกวานนี้ (14 ก.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 22/ 2551 ของพันธมิตรฯ ประกาศจุดยืนกรณีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยระบุว่า “รัฐบาลประชาภิวัฒน์เท่านั้นที่จะแก้ไขวิกฤติชาติได้”
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์อ้างถึงแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 เมื่อวันที่ 9 ก.ย. และนายสนธิ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดขบวนการและความพยายามในการบิดเบือนข้อมูล แอบอ้างความเรียบร้อยและความสงบเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงเพื่อมิให้ประชาชนสนใจต่อนักการเมืองที่ไร้จริยธรรม ทุจริตคอรัปชัน ขายชาติ และย่ำยีกฎหมาย พร้อมๆ กับความพยายามที่จะนำเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหุ่นเชิดเพื่อให้พรรคพลังประชาชนแสวงประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวไม่มีสิ้นสุด ดำรงวิกฤติที่สุดในโลกและความล่มจมประเทศชาติต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีภรรยาถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตคอรัปชันและร่ำรวยผิดปกติ, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรมหุ่นเชิด ผู้ที่ได้โยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เป็นคนใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชินวัตร หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ที่มีประวัติด่างพร้อยร่วมกับรัฐบาลทักษิณออกสลากพิเศษ 2 ตัว และ 3 ตัวโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนแสดงพฤติกรรมช่วยเหลือในการคืนเงินที่อายัดให้กับครอบครัวชินวัตร ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงไม่ต้องการ "นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดหรือรัฐบาลผสมที่มีส่วนร่วมจากพรรคพลังประชาชน"
นายสนธิ ยังกล่าวถึงจุดยืนของพันธมิตรฯ ว่าไม่ต้องการรัฐบาลแห่งชาติที่มาจากการส่งตัวแทนทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงไม่ต้องการรัฐประหารเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง พร้อมเสนอทางออกในการแก้วิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ด้วยการให้มี "รัฐบาลประชาภิวัฒน์" ซึ่งมีหลักการคือ ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ โดยขอให้นักการเมืองในรัฐสภายอมเสียสละพื้นที่ของตัวเอง ยอมให้บุคคลที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสามารถ และมีความจริงใจในการแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง ให้เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง และปราศจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มทุน และให้รัฐบาลประชาภิวัฒน์เข้ามาดำเนินการภารกิจเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง
นายสนธิ กล่าวว่า รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะมาจากองค์กรประชาชนทุก ภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ เพื่อกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศชาติร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทั้งเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อความเป็นธรรมในสังคม และรับผิดชอบโดยให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง ร่วมกำหนด "วาระแห่งชาติ" รวมถึงร่วมกับประชาชน เพื่อทำให้เกิด "สภาประชาภิวัฒน์" ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย กว้างขวาง เพื่อนำพาประเทศให้พ้นจากวิถีการเมืองแบบเดิม ที่เอื้อต่อการทุจริต คอรัปชัน ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบ และไม่ตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน

แกนนำนปช.ระบุ 19 ก.ย.เตรียมชุมนุมที่สนามหลวง

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (14 ก.ย.) ถึงบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ช่วงเย็นที่ผ่านมา ภายหลังมีการยกเลิกการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในเขตกรุงเทพฯ ว่า ยังคงมีประชาชนทยอยเข้าร่วมการชุมนุมใกล้เคียงกับทุกวันที่ผ่านมา นอกจากนั้น บางช่วงยังมีฝนตกลงมา
วันเดียวกัน นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ในวันที่ 19 ก.ย. 2551 กลุ่ม นปช. จะเปิดเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวงเพื่อรำลึกถึงวันครบรอบ 2 ปีของการรัฐประหาร โดยจะเริ่มเวทีตั้งแต่ช่วงเย็น และจะมีแกนนำ นปช. มาร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย
แกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวถึงการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่ ว่า คงต้องดูสถานการณ์ก่อน แต่เบื้องต้นจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวไปที่อื่น อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่อยากให้เกิดขึ้น แต่หากจะเกิดก็เป็นเรื่องอุบัติเหตุ สำหรับในวันที่ 17 ก.ย. 2551 ที่จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น นปช. ยังไม่มีแผนไปชุมนุม

ขอขอบคุณ http://www.thairat.co.th/

พระบรมฯ ทรงห่วงน้ำท่วม รับสั่งจัดแพทย์ช่วย ปชช.





นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าววันนี้ (14 ก.ย.) ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงห่วงใยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากหลังจากฝนตกหนัก ได้รับสั่งให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทานออกให้บริการตรวจรักษาประชาชนที่ประสบภัย ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อย่างเต็มที่จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสูภาวะปกติ
รักษาการ รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า วันนี้ หน่วยแพทย์ที่ออกให้บริการมาจากโรงพยาบาลมวกเหล็ก โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลปากช่องนานาและโรงพยาบาลมหาราช 2 ทีมใหญ่ เบื้องต้นได้รับรายงานผู้เจ็บป่วย 1,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ ไอและเจ็บคอ รวมทั้งเครียดและนอนไม่หลับประมาณร้อยละ 10
นายชวรัตน์ กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดส่งยาสามัญประจำบ้านจำนวน 5,000 ชุด มอบให้ประชาชนอำเภอละ 2,500 ชุด และรองเท้าบู๊ต 2,000 คู่ สำหรับใส่ป้องกันโรค นอกจากนั้น ยังได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยทุกแห่งจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการประชาชน และให้สถานพยาบาลเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งสำรองเซรุ่มป้องกันพิษงูและเตรียมสำรองยาสามัญประจำบ้านไว้อีก 100,000 ชุดด้วย

ขอขอบคุณ http://www.thairat.co.th/

พธม.เมินแลกข้อหากบฎกับ 111 ทรท.

พันธมิตรไม่รับข้อเสนอ
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงกรณีที่มีผู้เสนอให้ยกเลิกข้อหากบฏกับ 9 แกนนำพันธมิตรฯ แลกกับการนิรโทษกรรม111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยว่า ความคิดดังกล่าวเป็นความคิดที่โง่และบ้า เพราะในกรณีของ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว โดยมีความชัดเจนว่า มีการโกงการเลือกตั้ง ส่วนกรณีของ 9 แกนนำพันธมิตรฯ เป็นข้อหาที่ยังไม่ได้พิสูจน์ และจะมีการอุทรณ์จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 กันยายน ทางพันธมิตรฯจะมีการเคลื่อนไหวกดดันอย่างไรหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือระหว่างแกนนำ โดยช่วงนี้ต้องติดตามสถานการณ์ไปก่อน ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ผู้ที่มีข่าวว่า จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ส.เป็นบุคคลที่รับไม่ได้ เพราะเป็นบุคคลที่เคยทำผิดมาแล้วด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงข้อเสนอยุบสภาหรือรัฐบาลแห่งชาติ จะเป็นทางออกในขณะนี้ได้หรือไม่ว่า ถึงยุบสภาการเมืองยังอยู่ในวังวนเดิม เลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเก่ากลับมา พันธมิตรฯ ยังคงยึดมั่นเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังเป็นนามธรรมอยู่ จึงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันคิดเพื่อให้เป็นรูปธรรม โดยคนไทยต้องยอมรับถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หากมีการเลือกตั้งใหม่จะได้นักเลือกตั้งคนเดิม จึงต้องมีการเมืองใหม่ที่มีตัวแทนของสาขาอาชีพเข้าไปเป็นตัวแทน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนอย่ากลัวเหมือนกับที่นักวิชาการบอก เพราะนักวิชาการเหล่านั้นยึดติดกับตำรา ไม่ได้มองถึงสภาพความเป็นจริงว่า การเมืองที่มาจากระบบเลือกตั้งทั้งหมด ทำให้เกิดปัญหาส่วนแนวคิดการ เมืองใหม่จะสวนทางกับที่เคยสนับสนุนแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์เรื่องรัฐบาล แห่งชาติหรือไม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เรื่องรัฐบาลแห่งชาติยังเป็นรัฐบาลของนักเลือกตั้ง พันธมิตรฯไม่ยึดติดกับพรรคการเมืองใด และเห็นว่านักเลือกตั้งที่มีอยู่ควรยุติบทบาทการเมือง และเปิดโอกาสให้การเมืองใหม่เข้ามา “เราไม่ได้เอาพรรคใดมาเป็นสรณะหรือหลักยึดเหนี่ยว เราไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์ แต่เป็นพันธมิตรเพื่อประชาชน” พล.ต.จำลอง กล่าว
ขอขอบคุณ โพสทูเดย์

3 ส.เดินสายเชิญพรรคร่วมตั้งรัฐบาล




สมชาย-นพ.สุรพงษ์-สมพงษ์สมชาย-นพ.สุรพงษ์-สมพงษ์ เดินสายที่พรรคเพื่อแผ่นดิน เชิญพรรคร่วมตั้งรัฐบาล ด้าน สุวิทย์ ขอให้เลือกคนที่เหมาะสม ที่พรรคเพื่อแผ่นดิน แกนนำพรรคพลังประชาชน นำโดย นายสมชาย วงส์สวัสดิ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รักษาการ รมว.ยุติธรรม และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรมว.คลัง ได้เดินทางมาพบแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน ประกอบด้วย นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ รักษาการ รมช.พาณิชย์ ตัวแทนกลุ่มบ้านริมน้ำ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อแผ่นดิน ตัวแทนกลุ่มโคราช โดยใช้เวลาในการหารือกว่า 40 นาที จากนั้นนายสมชาย แถลงภายหลังการหารือว่า เหตุผลที่เราเดินทางมาพบและหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อแผ่นดิน เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคพลังประชาชนได้ร่วมกันทำงานและจัดตั้งรัฐบาลในชุดที่ผ่านมาที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ และได้ทำงานหลายอย่างซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชน อีกทั้งความสัมพันธ์ในการทำงานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นไปด้วยดี และเมื่อนายสมัคร และ ครม. ทั้งชุดต้องพ้นวาระไปพรรคพลังประชาชนจึงมีความเห็นว่าในการที่เคยผูกพัน และเคารพกันมาก่อนจึงอยากมาเชิญให้พรรคเพื่อแผ่นดินเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชาชนอีกครั้ง เมื่อถามถึงเหตุที่ต้องเดินสายมาพบพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งนั้น นายสมชาย กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับครั้งที่ผ่านๆมา เพียงแต่เราต้องการให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลให้มากขึ้น ด้านนายสุวิทย์ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณความหวังดีของพรรคพลังประชาชนที่จะเชิญพรรคเพื่อแผ่นดินเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งการพูดคุยกันในวันนี้ นายสมชาย นายสมพงษ์ และนพ.สุรพงษ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชาชน ก็มาเชิญด้วยตนเอง ดังนั้นพรรคเพื่อแผ่นดินจึงยินดีที่จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชาชนอีกครั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศ ซึ่งตนมั่นใจว่าปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาความแตกแยกจะสามารถแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ และทำให้ประเทศพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ประกาศยกเลิก พ.ร.ก. บริหารราชการฉุกเฉินด้วย ซึ่งตนเชื่อว่าสถานการณ์ของประเทศหลังจากนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มในการยุติปัญหาต่างๆ ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่ารายชื่อบุคคลที่พรรคพลังประชาชนจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคเพื่อแผ่นดินยอมรับได้หรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า ในฐานะที่พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก เราควรที่จะต้องรอการหารือภายในพรรคพลังประชาชนเสียก่อน เรื่องนี้เราไม่สามารถไปก้าวก่ายหรือตัดสินใจอะไรได้ อีกทั้งเราจำเป็นต้องให้เกียรติพรรคพลังประชาชนตัดสินใจ และคิดว่าน่าจะเลือกคนที่เหมาะสม เพราะพรรคพลังประชาชนก็รู้ดีว่าปัญหาขณะนี้อยู่ที่จุดใด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าหารือในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการมาเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ที่จะเสนอเป็นนายกฯ จากนายสมัคร เป็นคนใดคนหนึ่งใน 3 ส. แต่พรรคพลังประชาชนก็ยังไม่ได้แจ้งว่าจะเสนอบุคคลใด เพียงแต่ระบุว่าเมื่อพรรคได้ข้อยุติเกี่ยวกับคนที่จะเสนอเป็นนายกฯแล้ว ทั้ง 3 คน จะเดินสายแจ้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ย. นี้

ขอขอบคุณ http://www.sanook.com/

การปกครอง ของประเทศ อังกฤษ

สหราชอาณาจักรใช้ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรีซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล คณะรัฐมนตรีนั้นเลือกจากรัฐสภาและมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐสภาเช่นเดียวกันรัฐสภาของสหราชอาณาจักรเป็นแบบสภาคู่แบ่งเป็น 2 สภา คือเฮาส์ออฟลอร์ดสเป็นสภาสูงที่มาจากการแต่งตั้งและเฮาส์ออฟคอมมอนส์เป็นสภาล่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยหลักการแล้วผู้นำของรัฐสภาคือพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายรัฐธรรมนูญแยกกันไปพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่2

นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายกอร์ดอน บราวน์จากพรรคแรงงานซึ่งเข้ารับตำแหน่งหลังจากนาโทนีแบลร์ลาออกเมื่อกลางปีพ.ศ.2550 ในส่วนของมกุฏราชกุมารที่จะครองราชย์สมบัติเป็นคนต่อไปจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ก่อนจึงจะมีความชอบธรรมในการเป็นมกุฏราชกุมารแห่งสหราชอาณาจักรเจ้าชายแห่งเวลส์ในปัจจุบันคือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ซึ่งมิได้อาศัยอยู่ที่เวลส์แต่อย่างใดหากแต่อาศัยอยู่ที่สวนHighGroveในTetburyทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ

สื่ออังกฤษซัดการเมืองใหม่ทำลายปชต.-เลวกว่าปฏิวัติ

ดิ อีโคโนมิสต์” สื่อยักษ์ใหญ่อังกฤษ ประณามลัทธิพันธมิตรฯ ขัดหลักการประชาธิปไตย ระบุ การออกมาไล่ “ทักษิณ-สมัคร” ต้องไม่ลืมว่าทั้งคู่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น แถมที่ผ่านมายังพยายามแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงให้ประชาชนเข้าใจผิด ชี้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างมากหากม็อบข้างถนนสามารถขับไล่รัฐบาลได้ แฉรัฐบาลกำลังถูกบีบแบ่งปันอำนาจให้ประชาธิปัตย์ที่ไม่สมควรได้ เพราะไร้ความเป็นผู้นำ ได้แต่รอให้อำนาจใส่พานยื่นให้ถึงที่ นิตยสาร The Economist ของอังกฤษฉบับปักษ์แรกเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้นำเสนอบทความเรื่อง Worse than a Coup แปลเป็นไทยได้ว่า “เลวร้ายกว่ารัฐประหารเสียอีก” โดยนำเสนอเรื่องราวแนวความคิดการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่นำเสนอพร้อมกับการเคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาล ซึ่งบทความดังกล่าวมองว่าข้อเสนอดังกล่าวนั้นขัดต่อหลักการประชาธิปไตย เนื้อหาในบทความระบุว่า ม็อบเผด็จการไม่ควรถูกปล่อยให้สามารถล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยความนิยมของคนส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีข้อบกพร่อง การยืนขึ้นมาปกป้องประชาธิปไตยบางครั้งอาจต้องรวมถึงการปกป้องบุคคลที่ไม่น่าดึงดูดความสนใจ นายกฯ ที่ออกจะดูก้าวร้าวของประเทศไทย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นบุคคลที่ไม่น่าปกป้องเท่าไร คุณสมัครเป็นฝ่ายขวาจัด เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนยั่วยุตำรวจและพวกในการทำร้ายนักศึกษาทีมาประท้วงโดยปราศจากอาวุธเมื่อปี 1976 หลักจากที่นายสมัครได้ตำแหน่งนายกฯ จากการเลือกตั้งเดือนธันวาคมที่นำประชาธิปไตยหวนกลับมา เขาได้สรรหารัฐมนตรีที่ไม่ค่อยจะดูดีนัก เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกฯ ที่ถูกล้มด้วยรัฐประหาร รัฐบาลนี้อาจมีข้อบกพร่องสูง แต่มันจะยิ่งผิดและอันตรายยิ่งกว่าถ้ากลุ่มม็อบที่มีลักษณะเป็นเผด็จการ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล สามารถบีบบังคับให้รัฐบาลออกได้ หลังจากที่มีการเผชิญหน้ากันรุนแรงระหว่างกล่มที่สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล นายสมัครได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยที่ผู้บัญชาการทหารบกก็ได้ให้การสนับสนุน แต่กระทั่งกลางอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีวี่แววที่ทหารจะใช้กำลังในการสลายผู้ชุมนุม ถ้ากลุ่มคนที่เรียกตัวเองผิดผิดว่าเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ชัยชนะในครั้งนี้ ระบอบประชาธิปไตยของไทยจะเข้าสู่ขีดอันตรายอย่างมาก ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เองเมืองไทยได้ถือเป็นตัวอย่างอันดีของประเทศแถบเอเชียที่มีการเมืองแบบ pluralistic politics ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ มีทั้งคนที่มีความคิดแบบเสรีนิยมที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะใช้อำนาจในทางที่ผิด และแลเห็นสัญญาณที่น่าเศร้าว่านายสมัครก็ไม่ได้ดีกว่ากันเลย แต่แกนนำพันธมิตรฯ นั้นไม่ใช่เป็นพวกเสรีนิยมหรือนักประชาธิปไตยแต่เป็นกลุ่มนักธุรกิจ นายพล คนชั้นสูง ที่เป็นขวาจัดและน่าสยดสยอง พวกเขาไม่ได้เรียกร้องการเลือกตั้งไหม่ซึ่งพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ต้องการระบอบ "การเมืองใหม่" ซึ่งแท้จริงคือการกลับไปสู่ยุคเผด็จการที่มีระบบรัฐสภาแบบสรรหาและให้อำนาจกับทหารที่จะเข้ามามีบทบาทและจัดการเมื่อไรก็ได้ พวกเขาอ้างว่าเสียงส่วนใหญ่ไนชนบทที่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายสมัครเป็นกลุ่มคนที่ไร้การศึกษา และไม่สามารถออกเสียงอย่างมีเหตุผล แต่นี่คือการมองข้ามความจริงที่น่าตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งว่านายกฯ ทั้ง 2 คนมีนโยบายที่เป็นที่นิยมชื่นชอบโดยแพร่หลายอย่างแท้จริง เช่น การให้การรักษาพยาบาล และเงินกู้ที่ถูก ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะเกิดการปฏิวัติ แกนนำพันธมิตรฯ ได้พยายามที่จะล้มล้างรัฐบาลที่เป็นที่นิยมโดยใช้ข้ออ้างหลอกลวงว่าจะกู้รักษาพระมหากษัตริย์ที่เคารพรักของคนไทย จากแผนที่จะทำให้เมืองไทยเป็นสาธารณรัฐ คนที่มาชุมนุมเชื่อว่าการประท้วงได้รับการสนับสนุนเป็นนัยๆ จากเบื้องบน แต่สถานการณ์แบบนี้ถ้าเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ในโลก ตำรวจคงจะออกมาปราบปรามหมดไปแล้ว แต่เสียงกระซิบในหมู่ผู้ชุมนุมว่าพันธมิตรฯ มีผู้สนับสนุนระดับสูง ซึ่งอาจรวมถึงพวกนายพล และบุคคลในราชวงศ์ (ซึ่งไม่ใช่ในหลวง) นี่อาจเป็นเรืองไร้สาระ แต่การขัดขวางไม่ให้ถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (lese majeste) มาปกป้อง ทำให้การปฏิเสธข่าวลือเป็นการช่วยเผยแพร่ไปโดยปริยาย ตามประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันของไทยอย่างเป็นทางการ พระมหากษัตริย์คือบุคคลที่ปกป้องความสงบสุขและประชาธิปไตย ที่คอยมากู้สถานการณ์ในยามคับขัน และจุดนี้ถือเป็นโอกาสที่จะทำเช่นนั้น คำกล่าวของพระมหากษัตริย์ อาจทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดนั้นคลี่คลายได้ ตอนนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการประนีประนอมแบบเลวร้าย โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจถูกบีบบังคับให้ออก เพือลดความรุนแรง และอาจถูกบังคับให้แบ่งปันอำนาจให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่สมควรได้ และพรรคนี้ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำแม้แต่น้อย แค่รอให้อำนาจใส่จานมายื่นให้ถึงที่ เหมือนในประเทศบังคลาเทศที่พลเรือนธรรมดาเป็นเกราะคุ้มกันการปกครองโดยทหาร อาจเป็นไปได้ที่จะคาดเดาว่าจะมีการประนีประนอมโดยที่คุณสมัครหลีกทางให้บุคคลอื่นในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความอ่อนโยนกว่า และทางพันธมิตรฯ กองทัพ กลุ่มข้าราชการ ยอมรับการตัดสินของประชาชน แต่พันธมิตรฯ มีโอกาสจะไม่หยุดจนกว่าประเทศไทยจะลงเอยโดยยึดหลักการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยตามความต้องการของพวกเขา ในกรณีนี้พวกเขาอันตรายยิ่งกว่าคณะรัฐประหารปี 2006 เสียอีก อย่างน้อยผู้ก่อรัฐประหารยังสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชนโดยให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และได้ทำจริงหลังถูกบีบจากประชาชน ความเจริญก้าวหน้า ทันสมัย และเปิดกว้างของประเทศไทย ได้ทำให้ประเทศได้อยู่ในอยู่ในสมัยที่ต่างจากยุคมืดซึ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านพม่าซึ่งอ่อนแอจากการควมคุมของทหารอันธพาลที่ชอบความโดดเดี่ยว เพื่อนต่างชาติชองประเทศไทยควรจะส่งสัญญาณให้ชัดกับบุคคลชั้นสูงในเมืองไทยว่าการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็นการเดินถอยหลัง เหมือนที่พม่าได้ประสบคือการนำมาซึ่งการคว่ำบาตร นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เช่นกันอีกใม่นานอาจดำเนินการคว่ำบาตรโดยพวกเขาเอง หลังจากเห็นความโกลาหลบนจอโทรทัศน์รวมถึงการปิดสนามบิน

การปกครอง ของประเทศ ไทย

ข้อเสียของการปกครองในสมัยอยุธยาได้ถูกพยายามกำจัดลงในสมัยรัตนโกสินทร์ การกำหนดตัวบุคคลผู้จะเข้าสู่อำนาจมีความชัดเจนและเด็ดขาด ปัญหาความขัดแย้งเนื่องด้วยการแก่งแย่งอำนาจจึงเบาบางลง อย่างไรก็ตามปัญหาการรุกรานจากชาติตะวันตกกลายเป็นปัญหาใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายปกครองต้องมีสมาธิในการบริหาร การตัดสินใจปรับปรุงพัฒนาประเทศอย่างทันท่วงทีทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่ก็ส่งผลให้แนวคิดทางการเมืองการปกครองใหม่ ๆ ได้หลั่งไหลมาสู่ประเทศไทย

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เศรษฐกิจของโลกตกต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยเป็นอันมาก และทำให้เกิดความไม่พอใจต่อผู้มีอำนาจปกครองซึ่งถูกมองว่ามีการหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องทั้งที่ประชาชนตกอยู่ในสภาวะยากแค้น ในที่สุดจึงเกิดการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ยึดอำนาจการปกครองของประเทศ แล้วเปลี่ยนการปกครองของประเทศเป็นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยหวังว่าจะทำให้ประชาชนสามารถมีปากมีเสียงเข้ามาจัดสรรผลประโยชน์ให้กับตนเองได้อย่างถ้วนหน้า อย่างไรก็ตามระบอบประชาธิปไตยในช่วงแรกนั้นยังไม่เหมาะกับสภาพทางสังคมของไทย ประชาชนไม่สามารถรักษาอำนาจอธิปไตยไว้กับตนได้ อำนาจอธิปไตยจึงถูกดึงให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายทหารเป็นเวลาหลายทศวรรษหลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี พ.ศ. 2535 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน

การปกครองของประเทศ จีน

จีน

เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้ หนังสือเอเชี่ยน วอลล์สตรีต เจอร์นัล วิเคราะห์การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน ซึ่งเปิดสมัยประชุมในวันพุธที่ 5 มีนาคม ว่า จะมีการปรับโครงสร้างรัฐบาลครั้งใหญ่ นับตั้งแต่จีนเริ่มมีนโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศหลังยุค "ปฏิวัติวัฒนธรรม" ในปี 1975 หรือ พ.ศ.2518 ที่จะมีการกำหนดตัวผู้นำจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะสภาประชาชนแห่งชาติจีน 5 ปีจึงจะมีการประชุมครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็คงจะเป็นการลงมติของสภาประชาชนแห่งชาติจีนเลือก "ประธานสาธารณรัฐประชาชน" หรือ "ประธานาธิบดี" ซึ่งคาดว่าท่านหู จิน เทา คงจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีก วาระหนึ่ง และท่านหู จิน เทา ก็คงเสนอท่านเหวิน เจีย เป๋า ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้สภาประชาชนแห่งชาติรับรอง อีกวาระหนึ่งเช่นเดียวกัน


ที่สำคัญก็คือท่านหู จิน เทา ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการและประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะได้เสนอท่านลี จิ้น ผิง เป็นรองประธานสาธารณรัฐประชาชน และท่านหลี่ เคอ เฉียง เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย ท่านลี จิ้น ผิง ปัจจุบันเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ก่อนที่ท่านจะถึงแก่อสัญกรรม ได้วางหลักการไว้แน่ชัดในธรรมนูญของพรรคว่า การคัดสรรผู้นำพรรคและผู้นำรัฐบาลต้องทำเป็นระบบ 5 ปีล่วงหน้า เพื่อจะได้ดูผลงานและความสามารถเพื่อให้การเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นไปอย่างเรียบร้อย



ขณะเดียวกัน ผู้นำของจีนทั้งที่พรรคและรัฐบาล คือตัวประธานสาธารณรัฐประชาชน และนายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระ หรือเกิน 10 ปีไม่ได้ เมื่อดำรงตำแหน่งครบ 5 ปีในวาระแรกต้องเตรียมผู้นำไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจกันเหมือนสมัยที่ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกิดความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา การส่งต่ออำนาจไม่เป็นไปอย่างสันติ ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง จึงแก้รัฐธรรมนูญทั้งของสาธารณรัฐประชาชน และของพรรคให้การเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นไปตามระเบียบและอย่างสันติ



จีนปกครองโดยระบบพรรคเดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้จะมีการอนุญาตให้มีพรรคอื่นก็เป็นพรรคเล็กๆ ไม่มีความหมาย ระบบการปกครองเป็นระบบคู่ขนานไประหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาล ทั้งที่เป็นส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาครัฐที่เรียกว่า "รัฐบาลกลาง" ซึ่งประกอบด้วยรัฐบาล สภาประชาชนแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาประชาชนหรือสภาสูง และศาล ส่วนของพรรคที่เรียกว่าศูนย์กลางพรรคคู่กับสภาประชาชนแห่งชาติและสภาที่ปรึกษาประชาชนแห่งชาติก็คือ สมัชชาพรรค


สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ประกอบด้วย ผู้แทนของหน่วยงานพรรค ซึ่งมีการจัดตั้ง ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด มณฑล เทศบาล เขตปกครองตนเอง และเขตปกครองพิเศษ แต่ละระดับมีคณะกรรมการพรรคเลือกตั้งจากสมาชิกพรรค มีการเลือกตั้งโดยตรงในระดับหมู่บ้านและตำบล กรรมการระดับอำเภอ กรรมการตำบลและหมู่บ้านเป็นผู้เลือก กรรมการระดับจังหวัดกรรมการระดับอำเภอเป็น ผู้เลือก ระดับมณฑลมีกรรมการระดับจังหวัดเป็นผู้เลือก นอกจากนั้นก็มีผู้แทนจากองค์กรแนวร่วม องค์กรสตรี ผู้แทนชนเผ่า ผู้แทนกองทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ รวมเป็นสมาชิกสมัชชาพรรค สมัชชาพรรคจะ ประชุมทุกๆ 5 ปีเพื่อเลือกคณะ "กรรมการกลางพรรค" กรรมการกลางพรรคมีจำนวนทั้งสิ้น 300 คน คณะกรรมการกลางพรรคเป็นผู้เลือก "กรมการเมือง" หรือภาษาฝรั่งนิยมเรียกว่า "poliburo" ปัจจุบันมีสมาชิกสามัญ 24 คน และมีสมาชิกสมทบ 1 คน รวมเป็น 25 คนในสมาชิก 24 คน เลือกคณะกรมการเมืองประจำ 9 คน


จำนวน 9 คนในปีนี้จะมีการคัดเลือกผู้นำ 1 หรือ 2 คนไว้ล่วงหน้า ที่จะก้าวเข้าไปเป็นเลขาธิการพรรคในอีก 5 ปีข้างหน้า แทนเลขาธิการพรรคคนปัจจุบันคือ ท่านหู จิน เทา นอกจากจะเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคแล้ว ยังจะเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต่อสภาประชาชนแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง "ประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน" หรือประธานาธิบดี อันเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ "รัฐ" และจะได้รับเลือกเป็น "ประธานคณะกรรมการทหาร" ของพรรค พร้อมกันนั้นจะได้รับการเสนอชื่อให้สภาประชาชนแห่งชาติดำรงตำแหน่ง "ประธานกรรมาธิการทหาร" ของสภาประชาชน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา "สำนักงานบัญชาการกองทัพปลดแอกประชาชนจีน" ด้วย



ตำแหน่งประธานคณะกรรมการทหารของพรรค และประธานกรรมาธิการทหารของสภาประชาชนแห่งชาติ ตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492 ซึ่งถือเป็น "วันชาติ" ของจีน มีเพียง 4 คนคือ ท่านเหมา เจ๋อ ตุง ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ท่านเจียง เจ๋อ หมิน และท่านหู จิน เทา


กรรมการประจำของกรมการเมืองก็เลือกสมาชิกอีกคนหนึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า 5 ปีเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี การที่พรรคกรองและเลือกตั้งผู้นำพรรคไว้ล่วงหน้าก่อนเป็นเวลา 5 ปี และให้อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย หรือ 10 ปีเป็น "นวัตกรรม" ทางการเมืองของท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง


ภายในพรรคจะมี "สำนักงานเลขาธิการพรรค" ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบริหารของพรรค ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขาธิการ สมัชชาพรรค คณะกรรมการกลางพรรค กรรมการกรมการเมือง กรรมการถาวรกรมการเมือง และทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการชุดต่างๆ ของพรรค มีเลขาธิการพรรคซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดเป็นหัวหน้า


ทางด้าน "อำนาจรัฐ" หรือ "รัฐบาล" ในระดับภูมิภาคหรือท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวกันก็แบ่งเป็นมณฑล เขตปกครองตนเอง เทศบาล เขตปกครองพิเศษฮ่องกงและมาเก๊า ไต้หวัน จีน จึงมีแต่ท้องถิ่นไม่มีภูมิภาค แต่ละเขตปกครองแบ่งเป็นจังหวัดหรือเขต อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย แต่ละหน่วยงานก็มี "สภาประชาชน" หน่วยนั้นๆ มีผู้ว่าการมณฑล ผู้ว่าการเขตปกครองตนเอง นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า เลือกตั้งโดย "สภาประชาชน" ประจำมณฑล เขตปกครองตนเอง จังหวัด แยกลงไปก็เป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน หรือหมู่บ้านชนชาติส่วนน้อย นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาจากการเลือกตั้งของสภาประชาชนในระดับต่างๆ อำเภอ ตำบล หมู่บ้านก็เป็นท้องถิ่น


สภาประชาชนระดับหมู่บ้าน ตำบล มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นๆ ส่วนตั้งแต่ระดับอำเภอขึ้นไปมาจากการเลือกตั้งของสภาประชาชนระดับล่าง เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไป
สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งของสภาประชาชนของมณฑล เขตปครองตนเอง เทศบาลนคร ที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง กองทัพ รวมทั้งจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ผู้แทนของสภาประชาชนแห่งชาติ มีจำนวนไม่เกิน 3,000 คน ขณะนี้มีสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติจำนวน 2,985 คน

สภาประชาชนแห่งชาติอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี จำนวนผู้แทนของสภาประชาชนมาจากทุกระดับตั้งแต่หมู่บ้าน ไปถึงเขตปกครองตนเอง และอื่นๆ มีจำนวน 3.2 ล้านคน จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีประมาณ 70 ล้านคน จากประชาชน 1,300 ล้านคน สภาประชาชนแห่งชาติเป็นผู้แต่งตั้งประธานและรองประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือประธานาธิบดี ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของประธานสาธารณรัฐ

ให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการ ผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดิน โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญที่สุดเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งประธานกรรมาธิการ สมาชิกกรรมาธิการทหารแห่งชาติ บุคลากรในคณะกรรมาธิการทหาร โดยคำแนะนำของประธานคณะกรรมการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยปกติทั้งประธานกรรมาธิการ กรรมาธิการทหารจะเป็นคณะเดียวกันกับประธานและคณะกรรมการของพรรค ทหารกองทัพปลดแอกประชาชนจีนจึงเป็นทั้งของชาติและของพรรค

สภาประชาชนแห่งชาติมีสมัยประชุมสามัญ 5 ปีครั้ง สภาประชาชนแห่งชาติจะแต่งตั้งกรรมาธิการชุดต่างๆ ที่สำคัญคือ คณะกรรมาธิการประจำ ขณะนี้มีจำนวน 155 คน มีสมัยประชุมทุกปีในไตรมาสแรกของปี และมีหน้าที่พิจารณาอนุมัติเรื่องต่างๆ แทนสภาประชาชนแห่งชาติในช่วงปี 1975-1982 รัฐธรรมนูญจีนได้ยกเลิกตำแหน่งประธานสาธารณรัฐประชาชน หรือตำแหน่งประธานาธิบดี ให้ประธานคณะกรรมาธิการประจำของสภาประชาชนจีนแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานสาธารณรัฐประชาชนแทน ทั้งในแง่บริหาร พิธีการและทางการทูต การตั้งอนุกรรมาธิการ

เติ้ง เสี่ยว ผิง ท่านไม่ได้เป็นประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือเมื่อท่านเจียง เจ๋อ หมิน พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค และประธานสาธารณรัฐประชาชน ท่านก็ยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารของสภาประชาชน และประธานกรรมการทหารของพรรคต่อมาอีก 2 ปีจึงลาออกและให้ท่านหู จิน เทา ขึ้นแทน


ในการประชุมสมัชชาพรรคและการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่ง 5 ปีจะมีการประชุมครั้งหนึ่ง คราวนี้ก็ได้เลือกทายาทไว้ทั้ง 2 คน คือว่าที่เลขาธิการพรรคหรือประธานสาธารณรัฐ และผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างที่เป็นข่าว

ระบบการปกครองที่ยังเป็นระบบคอมมิวนิสต์อยู่ก็เหลือแต่จีน เวียดนาม เกาหลีเหนือ ลาว และคิวบาเท่านั้น