วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

“สนธิ” จวกรัฐบาลขายชาติ ปล่อยเขมรให้สัมปทานฝรั่งขุดน้ำมันเขตทับซ้อน

“สนธิ” ย้ำ “การเมืองใหม่” ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเปิดให้ถอดถอนนักการเมืองง่ายกว่าเดิม 100 เท่า พร้อมให้ ปชช.มีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรของชาติให้ตกเป็นของคน 64 ล้านคน จวกรัฐบาลขายชาติปล่อยเขมรให้สัมปทาน “เชฟรอน” เจาะน้ำมันเขตทับซ้อน ระบุเบื้องหลังความวุ่นวายของโลก มี “น้ำมัน” อยู่เบื้องหลัง แฉต่างชาติจ้องฮุบแหล่งก๊าซ-น้ำมันมหาศาลในอ่าวไทย
เมื่อเวลา 21.38 น.วันที่ 21 ก.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมเรื่องการเมืองใหม่วันนี้ไม่ได้มาประชุมด้วยเพราะพิษไข้ แต่ได้บอกกับแกนนำคนอื่นๆ แล้วว่า ความเห็นส่วนตัวเรื่องการเมืองใหม่ คือ 1.การที่ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองจริงๆ โดยมีกฎหมายรองรับ และ 2.เราต้องมีกระบวนการถอดถอนนักการเมืองชั่วที่ง่ายกว่าเดิมสักร้อยเท่า คือสามารถถอดถอนได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด ไม่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ นั่นคือประชาชนสามารถอดถอน ส.ส.ได้ การเมืองใหม่จึงไม่ใช่ การเมืองของพวกที่ซื้อเสียงเข้าไป แต่ต้องเป็นการเมืองของประชาชนที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หลังจากนั้น นายสนธิได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญนั่นคือเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดจากน้ำมัน โดยอธิบายว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือขายหุ้นให้เทมาเส็ก และไปร่วมเจรจากับประเทศต่างๆ เป็นเรื่องพลังงานทั้งสิ้น นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรมีความหมายทางเศรษฐกิจเท่ากับน้ำมัน โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกที่ใช้น้ำมันในการพัฒนาอุตสาหกรรม ความกินดีอยู่ดีของคนตะวันตกจึงขึ้นกับการพึ่งพาแหล่งน้ำมัน ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง ทำให้ประเทศตะวันตกเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลาง โดยในปี 2499 นายกโมซาเด็กของอิหร่านที่รักชาติได้ยึดบ่อน้ำมันของบริษัทต่างชาติมาเป็นของอิหร่านแล้วจ่ายค่าชดเชยให้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษจึงหาทางล้มรัฐบาลนายโมซาเด็กแล้วให้ซีไอเอและสายลับเอ็มไอ 6 โค่นล้มนายโมซาเด็กลงแล้วให้พระเจ้าชาห์ขึ้นมาปกครองประเทศและคืนบ่อน้ำมันให้บริษัทต่างชาติตามเดิม ส่วนที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 50 ของตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันร้อยละ 70 ของทั้งโลก สหรัฐอเมริกาได้จับมือเซ็นสัญญาซื้อน้ำมันระยะยาว และรับประกันราคานำมันให้ โดยสัญญาสิ้นสุด ในปี 2539 โดยก่อนที่จะสิ้นสุดสัญญานั้น บริษัทน้ำมัน อาทิ เชฟรอน เอสโซ่ เชลล์ ได้สำรวจแหล่งน้ำมันทั่วโกล ซึ่งทำให้รู้ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ยังไม่ขุด เพราะยังสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกจากซาอุฯ ได้ จึงเก็บเป็นความลับเอาไว้ นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันของต่างชาติได้ใช้ดาวเทียมสำรวจน้ำมันซึ่งเคยถ่ายภาพบริเวณอ่าวไทยและพบว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมันที่ไม่น้อยกว่าซาอุดีอาระเบีย แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้ เพราะเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นล้านในการสำรวจ ประกอบกับราคาน้ำมันขณะนั้นยังไม่ขึ้น จนกระทั่งช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาที่น้ำมันขึ้นาคาจากบาร์เรลละ 40 เหรียญเป็น 100 กว่าเหรียญ แล้วตกไป 90 กว่า และจะไม่มีวันต่ำกว่า 80 เหรียญหลังจากนี้ เพราะอาหรับหันไปใช้ราคาทองคำเป็นตัวกำหนดราคา เป็นราคาที่ชาวอาหรับพอใจ ขณะที่บริษัทน้ำมันก็ไม่สนใจว่าผู้ใช้จะเดือดร้อนหรือไม่ รวมถึง ปตท.ที่ขายให้เอกชนไปแล้ว นายสนธิ กล่าวต่อว่า บริษัทน้ำมันมีอิทธิพลสูงมากจนสามารถล้มรัฐบาลชาติไหนก็ได้ที่ไม่ตอบสนองเรื่องพลังงานให้เขา เรื่องนี้มีบทพิสูจน์ นายจอร์จ ดับเลิลยู. บุช ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้เพราะอิทธิพลบริษัทน้ำมัน เมื่อขึ้นมาก็ส่งเสริมบริษัทน้ำมัน บินมาเอเชียก็เพื่อเจรจาเรื่องน้ำมัน หลังปี 2539 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เริ่มเปิดลิ้นชักผลสำรวจแหล่งน้ำมันที่เก็บเป็นความลับ ซึ่งในแผนที่ลับจะชี้ว่าที่ใดมีน้ำมันบ้าง เป็นที่ทราบมานานสำรับคนที่เรียนวิศวปิโตรเลียมว่าพื้นที่ใดที่มีแม่นำไหลลงทะเล ปากแม่น้ำจะมีน้ำมันมหาศาล ซึ่งไทย กัมพูชา และเวียดนาม มีแม่น้ำโขงไหลลงมา พื้นที่อ่าวไทยทั้งหมด จึงคือขุมทรัพย์มหาศาลของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งฝรั่งรู้มานานแล้วแต่เก็บเป็นความลับเอาไว้จนราคาน้ำมันขึ้นมา ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มสนใจน้ำมัน ปี 2547-2548 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันกระโดจาก 20 เป็น 30 เหรียญ นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ได้บินมาไทย เพราะมีข้อมูลน้ำมันในอ่าวไทย แต่เป็นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เมื่อมาเจรจาขอสัมปทาน แต่จะต้องคุยทั้งไทยและกัมพูชาก่อน ถึงถอยฉากออกไป พร้อมกับทิ้งข้อมูลไว้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเหตุนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงคิดที่จะขายชินคอร์ป เพื่อเอาเงินเทมาเส็กมา โดยส่วนหนึ่งจะเอามาลงหุ้น กฟผ.ที่จะแปรรูป ส่วนหนึ่งจะตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย ทั้งนี้ แหล่งน้ำมันในอ่าวไทยนั้น พื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งนั้นเป็นของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน แต่พื้นที่ตรงกลาง ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จึงถือเป็นพื้นที่ทับซ้อน อย่างไรก็ตามในส่วนของเขมรนั้น เชฟรอน ได้เข้ามาขุดสำรวจ 4 หลุม พบว้ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 3 หลุม แสดงว่าในอ่าวไทยเต็มไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยเชฟรอนอ้างในรายงานว่า ในหลุมที่ขุดพบมีน้ำมันประมาณ 1 ล้านล้านบาร์เรล แต่เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน บอกว่า ตามธรรมดาแล้วบริษัทน้ำมันที่ไปรับสัมปทานในประเทศโลกที่ 3 จะโกหก โดยข้อเท็จริงจะมีกว่าที่บอกประมาณ 50-100 เท่า เพราะเขาไม่ต้องการให้รู้ว่ามีประมาณมากขนาดนั้น “วิธีการของมันที่ทำ คือ ส่วนที่ขุดออกมา มันก็ส่งออกและจ่ายค่าสัมปทาน แต่ส่วนหนึ่งมันก็ทำแบบที่ ปตท.ก็ทำอยู่ คือเอาเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบมารับจากท่อขุดเจาะโดยตรง แล้วเอาไปขาย อีกจุดที่มีน้ำมันเยอะ ถ้าลากเส้นจากจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี ตรงดิ่งเข้าไปในทะเลประมาณ 120 กิโลเมตร เป็นแหล่งนำมันมหาศาล ที่ยังไม่มีใครรู้ นี่ไง 3 จังหวัดภาคใต้จึงยังไม่สงบ เหมือนติมอร์ที่แยกไปจากอินโดนีเซีย เพราะมันมีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ดีบุก ทองคำ และแพลทินัม คนที่สนับสุนให้ติมอร์แยกตัวออกไปคือใคร คือ ออสเตรเลีย แล้วบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันในติมอร์และผูกขาดทำเหมืองก็คือออสเตรเลียทั้งหมด เหมือนกับอาเจะห์แหล่งน้ำมันใหญ่อีกแห่ง การทำให้ 3 จังหวัดภาคใต้วุ่นวายตลอด เป็นความพยายามให้ 3 จังหวัดประกาศตนเป็นอิสระ โดยมีบริษัทน้ำมันสนับสนุน เพื่อพวกมันจะได้เข้าไปฮุบผลประโยชน์ที่ 3 จังหวัดมีสิทธิ ตามระยะเข็มไมล์ ตามกฎหมายทางทะเล” นายสนธิ กล่าว นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่เราทะเลาะกับเขมร ตอนนี้มีตัวเล่นเพิ่มคือ จีน ที่พัฒนาตัวเองในรอบ 15 ปีมานี้จนร่ำรวยและเติบโตมหาศาล แต่เริ่มเดินไม่ออก เพราะเริ่มขาดแคลนน้ำมัน จากเดิมที่มีบ่ำน้ำมันที่ต้าชิงและส่งออก ตอนนี้ต้องนำเข้า ต้องค้าขายกับอิหร่านเพิ่ม และออกไปลงทุนทำบ่อน้ำมันในอาฟกานิสถาน ไปสนับสนุนรัฐบาลพม่าเพราะมีแหล่งก๊าซฯ ส่วนที่ต้องมาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร เพราะถ้าลากเส้นไปก็จะกินพื้นที่เข้าไปในเขตทับซ้อน มีการสร้างถนนจาก สีหนุวิลล์ วิ่งไปทางเขาวิหาร และทะลุไปคุนหมิง ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นทางรถวิ่ง แต่เป็นแนวท่อส่งน้ำมันไปให้จีน สหรัฐฯ จึงเข้ามาขวางเพราะกลัวจีนจะแผ่อิทธิพล ถึงขนาดลงไว้ในยุทธศาสตร์ความมั่นของสหรัฐฯ ว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือจีน ในที่สุดเขมรก็จะเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติ มีแหล้งพลังงานเยอะ และกำลังให้บริษัทฝรั่งมาตรวจสอบแหล้งก๊าซฯ และน้ำมันที่มีอยู่ในทะเลสาบ ที่เขมรจับปลามาทำปลากรอบ นั่นคือแหล่งก๊าซและน้ำมัน แต่ไม่ต้องห่วง เขมรจะมีน้ำมันมากแค่ไหน ก็จะเหมือนไนจีเรีย ซึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เจอน้ำมันแต่ให้ต่างชาติรับประโยชน์ไป 600,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้คนไนจีเรียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ยังยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวกิน “เขมรก็จะเป็นแบบนั้น เพราะมันมีรัฐบาลและนายกฯ ที่ชาติชั่ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเขมร มันเป็นประเทศถูกสาป ไม่ถูกสาปได้ไง ขนาดพระสังฆราชยังเล่นของ แล้วจะเจริญได้อย่างไร เราไม่ต้องไปกลัว แต่กำลังชี้ให้เห็นว่ากรเมืองระหว่างประเทศกำลังมีบทบาทในไทยเรื่องน้ำมัน เมื่อสหรัฐฯ จีนเข้ามา ฝรั่งเศสก็เข้ามา ญี่ปุ่นก็เข้ามา กรรมการที่จะมาดูแลพื้นที่เขาพระวิหารที่เป็นมรดกโลก ก็คือ 6 ประเทศที่อยากได้นำมัน” นายสนธิกล่าว นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เขมรได้อนุญาตให้เชฟรอนตั้งแท่นขุดเจาะบนพื้นที่ทับซ้อนกับไทยแล้ว โดยที่เราไม่ได้คัดค้านเลย ต่างจากจีนที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับเวียดนาม แล้วจู่ๆ เวียดนามก็ให้เชฟรอนรับสัมปทาน จีนจึงแจ้งไปว่าพื้นที่นี้เป็นของจีน ถ้าเชฟรอนตั้งแท่นเมื่อไหร่จะส่งเรือไปถล่มทันที เชฟรอนรีบถอยเลย “ถ้าเรามีรัฐบาลที่รักชาติ มีทหารที่ไม่ห่วงแค่ยศแค่ตำแหน่งกับงบประมาณซื้ออาวุธ ถ้ามันห่วงทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มันต้องขยับแล้ว ต้องแจ้งเชฟรอนว่าตรงที่แท่นคุณไปตั้ง มันของผม ถึงเขมรบอกเป็นของเขาก็ตาม เมื่อไหร่ที่คุณลงเสา ผมเอาปืนยิงเลย แต่มันทำไมมันไม่ทำ เพราะมันเป็นรัฐบาลขายชาติ นี่ไง เรามาสู้เพื่ออะไร เข้าใจหรือยัง ทรัพยากรนี่คือสินทรัพย์ของแผ่นดิน ที่เราต้องมาบริหารจัดการเพื่อคนไทย 64 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อโคตรใครบางคนที่อยู่ลอนดอน และไม่ใช่เพื่อโคตรของคนตาเหล่” นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่มีหมายความหลายๆ อย่างมากมายมหาศาล ถ้าเราเอาเรือปืนเราไปไล่เชฟรอน ทั้งอเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ก็ต้องถอย เพราะคิดว่าไทยเอาจริง และมาคุยกับไทยดีกว่า เมื่อมาคุยกับไทย เราก็ต้องมีเงื่อนไขว่าฮุนเซนจะไปซี้ซั้วให้ใครไมได้ ให้เมื่อไหร่ยิงเมื่อนั้น ฮุนเซนก็ต้องถามเราว่าจะเอายังไงบอกมา เราก็บอกให้เขียนแผนที่กันใหม่ ถ้าไม่ยอม เราก็ไม่ยอม เพราะคนไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวอยู่แล้ว เราทำมาหากิน เรารวยกว่าเขมรมาก แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเอาบริษัทขายชาติมาเป็นของเรา นั่นคือ ปตท. ที่มันขายชาติ มันมีแผนที่ข้อมูลหมด ว่าที่ไหนมีน้ำมัน แต่เก็บไว้เอง แล้วทำมาหารับประทานกับบริษัทน้ำมันและก๊าซฯ ของฝรั่งต่างชาติ จนผู้บริหารร่ำรวย ซึ่งถ้ามีอำนาจจะยึคทรัพย์ผู้บริหาร ปตท.ทั้งหมด “นายประเสริฐ บุญสมพันธ์ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ปตท.ร่ำรวย ยอดขายเท่านั้นเท่านี้ เป็นบริษัทอันดับหนึ่งของไทย แต่ทุกอย่างที่เอาไปแปรรูปนั้นล้วนแต่เป็นของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ของคุณ ทุกอย่างเป็นของชาติ แม้แต่ท่อส่งก๊าซ ศาลปกครองก็ส่งให้เป็นของรัฐ แล้วคุณก็ไปบีบเพื่อให้ได้เช่าท่อก๊าซในราคาถูก ซึ่งถ้ามีการเมืองใหม่ เราไม่ยอมเด็ดขาด” นายสนธิ ย้ำว่า ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับน้ำมัน เราต้องมีการเมืองใหม่ที่เจรจาเป็น ไม่ใช่การเมืองของนายกฯ เลขานายก ประธาน ปตท. หรือคนที่อยู่ลอนดอน แต่เป็นของคนไทย 64 ล้านคน เมื่อเป็นเช่นนั้นการเจรจาก็จะไม่ยาก ก็เพราะทุกอย่างเมื่อเจรจาเสร็จ ผลประโยชน์เข้ากระเป๋า 64 ล้านใบ แต่ถ้าเป็นการเมืองของบพวกเขาเอง ก็จะแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพวกเขาไม่กี่คนกับบริษัทฝรั่ง เหลือเศษเนื้อติดกระดูกให้คนไทย “สำหรับผม การเมืองใหม่ที่ต้องมีคือ จะต้องรักษาสินทรัพย์ที่ผมเล่ามาให้ตกเป็นของคนไทยทั้งประเทศ” นายสนธิย้ำ นายสนธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ตนได้พูดเรื่องวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ กรณีเลห์แมน บราเธอร์ส และเอไอจี แล้ว มีโทรศัพท์มามากจากตัวแทนเอไอเอที่เป็นพันธมิตรเข้ามามาก ให้ช่วยชี้แจงว่า เอไอเอที่เมืองไทย มีเอไอจีถือหุ้นเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ครึ่ง เอไอเอเมืองไทยจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันที่มีน้ำใจที่หนักแน่นให้แกพันธมิตร คือ “วิริยะประกันภัย” ที่ยอมขายกรมธรรม์ในการประกันตัวนักรบศรีวิชัย


ขอขอบคุณhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?newsid=9510000112028

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

หลักบริหารบ้านเมือง นายกฯ ใหม่ยึดซื้อสัตย์ - ก.ม.

วันนี้ (18 ก.ย.) ว่า เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ที่บ้านพักเลขที่ 222/92 หมู่บ้านเบเวอร์ลี่ฮิลล์ ถ.แจ้งวัฒนะ ว่า “วันนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กระผมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้ในครั้งนี้ เป็นศิริมงคลแก่กระผมและครอบครัวอย่างสูงสุด กระผมจะขอเทิดทูนไว้เหนือชีวิต ด้วยความจงรักภักดีตลอดไป
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพทุกท่าน กระผมขอยืนยัน ณ โอกาสนี้ ว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยการทุ่มเท เสียสละ ด้วยวิริยะอุตสาหะ ด้วยความมีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักกฎหมาย ยึดมั่นในหลักแห่งกระบวนการยุติธรรมเพื่อความเป็นธรรม เรียบร้อย ในบ้านเมืองของเรา
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ขณะนี้ ในประเทศบ้านเมืองของเรานั้น มีปัญหาที่จะต้องดำเนินการแก้ไข คงจะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า บางครั้งเรามีความขัดแย้งทางความคิด การขัดแย้งเหล่านั้น ตนคิดว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เราคงจะต้องมองว่า เกิดขึ้นแล้วทำอย่างไรจึงจะนำพาไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ และความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองเราต่อไป ตนคิดว่า สิ่งนี้ คงต้องคิดกันอย่างรอบคอบและมีเหตุผล
ตนประสงค์ที่จะให้พี่น้องประชาชนชาวไทยของเราได้กลับมาร่วมกันคิด คิดว่า ความเป็นพี่เป็นน้องของเรานั้น จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องประชาชนร่วมกันนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราน่าจะหันหน้าเข้ามาสู่ความปรองดอง อะลุ่มอล่วยให้อภัยซึ่งกันและกันไม่ถือโทษโกรธกัน และจะต้องมีความเมตตาอารี เอื้ออาทรแก่กัน ตนคิดว่า สิ่งนี้ ย่อมมีอยู่ในหัวใจของเราทุกคนถ้าหากว่าเราได้ดำเนินการ มีวิธีคิด ที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
พี่น้องทุกท่านตนคิดว่า หากเราได้ยึดหลักอย่างนี้ แล้ว ประเทศชาติของเราจะกลับคืนมาสู่ความร่วมเย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราจะทำให้เราได้ร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรต่อไป ขณะนี้ เรามีปัญหาอื่นๆ ที่จะต้องร่วมกันแก้ไขอีกมากมาย ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลของกระผมที่จะได้เกิดขึ้นโดยสำเร็จสมบูรณ์ในเร็ววันนี้ จะคำนึงถึงประโยชน์สุข ความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน เป้าหมายสูงสุด คือ การร่วมกันนำพาประชาชนของเรา ประเทศชาติของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องและวัฒนาถาวร
เรามีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าเข้ามาหลายด้าน อย่างปัจจุบันนี้ เช่น เรื่องเกี่ยวกับเงินทุนที่ค่อนข้างจะไหลเข้ามาน้อยในประเทศของเรา หรือ ปัญหาที่บริษัทต่างชาติที่มีเงินทุนจำนวนมากเกินประสบความล้มเหลวในการบริหาร กระทบกระเทือนถึงภาวะเศรษฐกิจในบ้านเรา หลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ ผสมผสานกัน ดังนั้น คิดว่า ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไขแล้วใครจะมาช่วยเราแก้ไข คนไทยเท่านั้น ที่จะต้องหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันแก้ไขสิ่งที่มีปัญหาเกิดขึ้นในบ้านเรา
ตนขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านช่วยกัน ทุกท่านเป็นหุ้นส่วนของประเทศของเรา รัฐบาลนั้น เป็นผู้มีหน้าที่ในการบริหารให้เกิดพลังและผลักดันประเทศชาติของเราให้เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นอย่างไรก็ตามประชาชนในชาติไม่รักสามัคคีกัน ไม่ร่วมกันผลักดันแล้วก็คงจะสำเร็จลงไปได้ยาก ตนหวังว่า พี่น้องประชาชนทั้งหลายคงจะได้ร่มมือกัน ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณประชาชนชาวไทยทุกท่านที่จะได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกันในการที่จะสรรสร้างความรักความสามัคคีในการที่จะร่วมกันเสริมสร้างภาวะเศรษฐกิจที่ดีให้แก่บ้านเมืองของเรา
ขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน เพื่อนข้าราชการ ที่จะได้นำเอานโยบายทั้งหลาย ความประสงค์ของพี่น้องประชาชนทั้งหลายไปปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ ดังนั้น ถ้าทุกฝ่ายได้ร่วม มือกันแล้วตนมั่นใจว่า ความประสงค์ของเราทุกคนจะประสบความสำเร็จพร้อมกัน นำพาประเทศชาตอของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องในที่สุด”

Credit : http://www.thairath.co.th/

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ผบ.ตร.สั่งฟ้อง "จักรภพ" หมิ่นเบื้องสูงแล้ว!

ผู้จัดการออนไลน์ - ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในความเห็นสั่งฟ้อง “จักรภพ เพ็ญแข” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รอให้ทาง บช.ก.นัดหมายกับเจ้าตัว ส่งให้อัยการ ระบุหมดหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแล้ว

วันนี้ (15 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ต่อนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งฟ้องตามที่คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน โดยขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อทำการนัดหมายกับนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อประสานงานเรื่องการนัดวันและเวลา ในการส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปให้กับอัยการต่อไป

“เมื่อสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของอัยการแล้ว ก็ถือได้ว่าภาระหน้าที่ของพนักงานสอบสวนก็เป็นการเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกไม่นาน” พล.ต.ต.สุรพลกล่าว

ทั้งนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ถูก พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน แจ้งความจับเมื่อวันที่ 24 มี.ค. โดย พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์เข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวน (สบ.2) กลุ่มงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีที่ นายจักรภพแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกการแถลงข่าวพร้อมกับเอกสารคำแปลภาษาจากอังกฤษเป็นภาษาไทยตามเนื้อหาในแผ่นดีวีดีดังกล่าวมอบให้แก่พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญภาษาหลายฝ่ายได้แปลคำปราศรัยของนายจักรภพ ซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นคำแปลของตัวนายจักรภพเอง จนกระทั่งมีความเห็นจาก ผบ.ตร.ที่ลงนาามสั่งฟ้องในวันนี้

ที่มา : http://www.tttonline.net/TTT2/hotcontent/contents_view.php?page_name=news&conts=4347

ขัดขืนแบบพันธมิตร “สง่างาม” หรือ “ป่าเถื่อน”



ต้องยกนิ้วให้ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อคณาธิปไตย” ว่าของเขาดีจริง...


เพราะนอกจากความสามารถขั้นเทพในการปลุกระดมแล้ว ก็ยังอุดมด้วยความคิดสร้างสรรค์เต็มพื้นที่ไปหมด เป็นผู้นำอันดับต้นๆ ในการสร้างกระแส “แฟชั่น” ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า แฟชั่นสิ่งของเครื่องใช้ แฟชั่นอุปกรณ์การเชียร์


แม้แต่แฟชั่นทาง “ภาษา” ก็ยังสามารถนำคำธรรมดาที่เคยถูกใช้ในพื้นที่จำกัดมาทำให้เป็นคำ “ป๊อปๆ” ที่ใช้กันดาษดื่น


“ภาคประชาชน” คำที่เคยเรียกใช้กันเองในคนไม่กี่กลุ่ม ก็ได้การชุมนุมของพันธมิตรฯเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนี่เองที่ทำการตลาดให้ แม้ว่าระยะหลังผู้คนจะเริ่มสับสนสงสัยแล้วว่าอะไรคือ “ภาคประชาชน” กันแน่ บางคนแทบจะเข้าใจผิดไปเลยว่า จริงๆ แล้วภาคประชาชนแปลว่า ไม่เอาการเลือกตั้ง ปฏิเสธประชาธิปไตย แต่ยอมรับได้กับการรัฐประหาร...


ล่าสุด คำที่เคยอยู่แต่ในตำราวิชาสันติวิธีของอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่าง “อารยะขัดขืน” ก็ได้รับการปลุกปั้นให้เชิดหน้าชูตาเป็นที่รู้จักวงกว้างได้โดยสำเร็จ โดยเริ่มจากการประกาศ “ไม่จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภาษี ฯลฯ” ซึ่งแม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ประชาชนทั่วไปตื่นเต้นสนใจได้ว่า “นี่ล่ะหรือคืออารยะขัดขืน...”


ที่ทำให้โด่งดังกันสุดๆ ก็เมื่อพันธมิตรฯ เดินเกม “แหกตำรวจ ยั่วรัฐบาล หน้าด้านดื้อกฎหมาย” จากที่เคยนอกกติกา ก็หันมาเป็นนอกรัฐธรรมนูญ ทำลายสมบัติหลวง ช่วงชิงบุกยึดสถานที่ราชการ ระรานสิทธิและความสงบของประชาชนคนอื่นๆ ดื้อด้านขัดขืนไม่มอบตัวในข้อหากบฏ ฯลฯ


เหล่านี้กลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อทุกอย่างที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย” ทำมาแล้วทุกอย่างและใช้ข้ออ้าง “อารยะขัดขืน” ในการปกป้องเสรีภาพของตัวเองเอาไว้ แม้ในวันที่ศาลได้ออกหมายจับแล้วก็ตาม... จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า นับตั้งแต่มี “อารยะขัดขืน” ในมาตรฐานพันธมิตรปรากฏออกมา ความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้จะกลายเป็นที่โจษจันและตั้งข้อสงสัยมากแค่ไหน


จริงหรือไม่ที่เราจะ “ทำอะไรก็ได้” ตามแต่ความพอใจ


และถ้ามันผิดกฎหมายหรือทำลายกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน จะอ้างเพียงว่า “อารยะขัดขืน” เพื่อปฏิเสธการต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำได้แล้วกระนั้นหรือ


แท้จริงนั้น คำว่า “อารยะขัดขืน” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บุกเบิกวิชาการด้านความรุนแรงและสันติวิธีในประเทศไทย อ.ชัยวัฒน์ อธิบายว่า อารยะขัดขืน (Civil Disobedience) เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ต้อง “อารยะ” (ถูกต้อง ดีงาม เจริญแล้ว) ทั้ง “วิธีการ” และ “เป้าหมาย” จะขาดประการใดประการหนึ่งไปไม่ได้ และการกระทำนั้นต้องทำให้สังคมโดยรวมอารยะขึ้น หรือเจริญขึ้น สูงขึ้น ไปในทางที่ดีขึ้น


วิธีการอย่างอารยะจากมุมมองของ อ.ชัยวัฒน์ นั้น ยังต้องเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และที่สำคัญคือต้องยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้แนวทางอารยะขัดขืนหรือสันติวิธี เพื่อให้สังคมการเมือง “เป็นธรรม” ขึ้น “เคารพ” สิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็น“ประชาธิปไตย” ยิ่งขึ้น


ซึ่งหากว่ากันตามแนวทางของนักวิชาการเจ้าตำรับสันติวิธีท่านนี้เพียงท่านเดียวเสียก่อน ก็ต้องพิจารณากันว่าการกระทำของพันธมิตรฯ เข้าข่ายนี้สักกี่ข้อ


“วิธีการ” ของพันธมิตรฯ ดีงาม ถูกต้อง ปราศจากความรุนแรงเพียงใด


“เป้าหมาย” นั้นเล่า ได้เคารพมนุษย์คนอื่นๆ เพียงพอหรือไม่ เป็นไปเพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรมเท่าเทียม เพื่อความเจริญเติบโตและเข้มแข็งของสังคมการเมืองบ้างหรือเปล่า

ที่มา http://www.prachatouch.com/content.php?id=9750

ออกหมายจับแม้ว-อ้อเบี้ยวฟังคดีรัชดาฯ

ไร้เงา"ทักษิณ-พจมาน"ฟังคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ศาลออกหมายจับนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 14.00 น. วันที่ 21 ต.ค. ขณะที่ศาลแจ้งผลคำวินิจฉัยศาล รธน. ชี้ พ.ร.บ. ว่า ด้วย ป.ป.ช. มาตรา 4, 100, 122 ที่ฟ้อง “แม้ว” ไม่ขัด รธน. หลังอดีตนายกฯ ยื่นประเด็นโต้แย้งสิทธิความเสมอภาคบุคคลถือครองทรัพย์สิน ด้านอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เผยเป็นหน้าที่ตำรวจตามจับผู้ต้องหามาฟังคำพิพากษา ยินดีทำเรื่องขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหากประสานมา ระบุถ้าถึงวันนัดยังไร้เงา ขึ้นอยู่ที่ศาลว่าจะอ่านคำพิพากษาลับหลังหรือไม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.ย. นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรีและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 ม.4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 จากกรณีที่คุณหญิงพจมาน ประมูลซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยอัยการโจทก์มาศาล แต่จำเลยทั้งสองและทนายความจำเลยไม่มาศาล ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลติดประกาศหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว แต่จำเลย ทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษา จึงให้ออกหมายจับจำเลย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 32 วรรคสอง มาฟังคำพิพากษา และให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 21 ต.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ทั้งนี้ศาลยังได้แจ้งให้อัยการโจทก์ทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/ 2551 ที่จำเลยทั้งสองโต้แย้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100 และ 122 ที่ยื่นฟ้องคดีนี้ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เรื่องการถือครองทรัพย์สินของบุคคลหรือไม่ อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. มาตรา 26-29, 39 และ 43 ด้านนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงานรับผิดชอบคดี กล่าวว่า เมื่อศาลออกหมายจับ ก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในการติดตามตัวจำเลยทั้งสอง หาก สตช. ประสาน มายังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน อัยการก็มีคณะทำงานเตรียมพร้อมดำเนินแล้วโดยก่อนหน้านี้คณะทำงานได้ประสาน ขอข้อมูลการฟ้องคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ว่ายื่นฟ้องแล้วกี่คดี และคดีอยู่ในชั้นใดเพื่อเตรียมส่งข้อมูลให้อัยการฝ่ายต่างประเทศยื่นคำร้องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ หากศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 21 ต.ค. แต่ยังไม่ได้ตัวจำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษา ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะอ่านคำพิพากษาลับหลังหรือไม่ วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะรองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังหลบหนีคดี ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงก์ ให้แก่รัฐบาลพม่า วงเงิน 4,000 ล้านบาท ว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งออกหมายจับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องรอศาลส่งหมายจับก่อนเข้าสู่กระบวน การออกประกาศสืบจับ โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากร แล้วกระทำการกระจายประกาศสืบจับไปยังสถานีตำรวจ และด่านตรวจคนเข้าเมือง ทั่วประเทศ เพื่อติดตามจับกุมตัวตามคำสั่งศาล ก่อนทำการรายงานผลติดตามการจับกุมไปยังอัยการต่อไป ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายจับจากศาลแต่อย่างใด ส่วนการประสานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ต้องพิจารณาดูว่าจะมีผลต่อหมายจับเก่าที่เคยออกมาในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯอย่างไร อัยการต้องพิจารณาว่าจะเลือกใช้ หมายไหน ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกองคดีก็จะพิจารณาดูว่าหมายจับเก่าสิ้นสุดหรือไม่ด้วย.


ที่มา www.dailynews.co.th

มาทำความรู้จัก นายกรัฐมนตรีคนที่ 26กับครหาได้ดีเพราะ "เมียอุ้ม"

พร้อมประมวลภาพสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น "วงศ์สวัสดิ์" กับ "ชินวัตร"

ประวัติ:

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมรสกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)[2] มีบุตร 3 คนคือ นายยศธนัน วงศ์สวัสดิ์ นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และ นางสาวชยาภา วงศ์สวัสดิ์

การศึกษา:

สำเร็จการศึกษาจากนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2513 ต่อมาปี 2516 เข้าศึกษาต่อเนติบัณฑิตไทย (นบท.) สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อ 2539 ปริญญาบัตร หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 38 และในปี 2545 รัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชนมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

หน้าที่การงาน:

หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วสอบบรรจุเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา กระทรวงยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. 2517 ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาประจำกระทรวง พ.ศ. 2518 ผู้พิพากษาศาลแขวงเชียงใหม่ พ.ศ. 2519 จากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป้นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2520 แล้วจึงย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2526 จากนั้นย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพังงา พ.ศ. 2529 ต่อมาได้เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง พ.ศ. 2530 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2531 ย้านไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2532 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรี พ.ศ. 2533 เลื่อนตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พ.ศ. 2536 ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 2 พ.ศ. 2540

ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายวิชาการ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นได้ย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายบริหาร พ.ศ. 2542 หลังจากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งสูงสุดเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม 11 พ.ย. 2542 หลังจากนั้นจึงย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน 8 มี.ค. 2549 - ก.ย. 2549

หลังจากเกษียณอายุราชการแล้วได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขานิติศาสตร์ พ.ศ. 2542- 2549 กรรมการเนติบัณฑิตยสภา, ประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ, กรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), กรรมการบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน), กรรมการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)[3], กรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), นกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.), กรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรรมการคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.), กรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.), กรรมการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.), กรรมการคณะกรรมการอัยการ (กอ.), กรรมการคณะกรรมการตุลาการ, กรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารแห่งชาติ, กรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

การดำรงตำแหน่งทางการเมือง:

ในปี พ.ศ. 2550 เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 รักษาการนายกรัฐมนตรี 17 กันยายน 2551 ได้รับการคัดเลือกจากสภา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์:

ปี 2542 เหรียญจักรพรรดิมาลา (จ.ม.ร.) ปี 2540 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ปี 2535 มหาวชิรมงกุฎไทย (ม.ว.ม.) ปี 2532 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) ปี 2529 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ปี 2527 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) ปี 2523 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)

ทั้งนี้ นายสมชาย ได้รับเสียงติติงมากมายโดยเฉพาะสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีคนที่ 25 ซึ่งถูกรัฐประหารยึดอำนาจไป เนื่องจากมีภรรยาเป็นน้องเขยของอดีตผู้นำ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแกนหลักของกลุ่มวังบัวบาน มุ้งใหญ่ส.ส.ทางเหนือของพรรคไทยรักไทย ทำให้เกิดข้อครหาว่าการขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศครั้งนี้เป็นเพราะ "ภรรยา" อุ้มสม !!

สิ่งที่จะต้องจับตาต่อไปคือ วาจาของว่าที่นายกฯ คนที่ 26 นี้ ที่ระบุว่า แม้จะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ แต่ยืนยันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางคดีใดๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวจะกระทำตามที่ได้ลั่นเอาไว้หรือไม่.

บรรดา​ญาติ​สนิท​ใน​ตระกูล​ชิน​วัตร​พร้อม​ข้าราชการ,พ่อค้า​และ​ประชาชน​ใน​อำเภอ​สัน​กำแพง​ร่วม​กัน​รดน้ำ​ดำหัว พ.ต.ท.​ทักษิณ ชิน​วัตร อดีต​นายกรัฐมนตรี​ระหว่าง​เดินทาง​มา​ทำ​พิธี​ไหว้​กู่ (ที่​เก็บ​อัฐิ) ของ​คนใน​ตระกูล​ชิน​วัตร​ที่​ตั้ง​อยู่​ภายใน​วัด​โรง​ธรรมสามัคคี อ.​สัน​กำแพง จังหวัด​เชียงใหม่ ซึ่งรวมไปถึงญาติสนิทอย่าง

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยาและบรรดาญาติพี่น้องตระกูลชินวัตรเข้านมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิทั่วทั้ง จ.นครศรีธรรมราช โดยเริ่มต้นจากการเข้านมัสการเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทำพิธีบวงสรวงองค์จตุคาม ไหว้ศาลหลักเมือง พิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อช่วยสะเดาะห์เคราะห์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ตกเป็นจำเลยในหลายคดี

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยาและบรรดาญาติพี่น้องตระกูลชินวัตรเข้านมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิทั่วทั้ง จ.นครศรีธรรมราช โดยเริ่มต้นจากการเข้านมัสการเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ทำพิธีบวงสรวงองค์จตุคาม ไหว้ศาลหลักเมือง พิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อช่วยสะเดาะห์เคราะห์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ตกเป็นจำเลยในหลายคดี

ที่มาจาก : Matichon Online

"สมชาย"เคลียร์รอบทิศ "ผบ.ทบ."ไม่ขัด กลุ่มเนวินยอม-แลก"รมต."

"สมชาย"ลอยลำนั่งนายกฯคนที่ 26 แน่ หลังจับเข่าคุย"เนวิน"หลายรอบ เผยถูกต่อรองขอโควต้า รมต.เพิ่มอีก 1 กระทรวง หวังคว้าพุงปลา"คมนาคม" แต่ไม่เอา"สันติ พร้อมพัฒน์" อ้างไม่ได้อยู่ในกลุ่ม"เพื่อนเนวิน" พรรคร่วม รบ.ค้านยุบสภา "ปชป."เตือน"เยาวภา"ถูก ป.ป.ช.สอบร่ำรวยผิดปกติ แกนนำ 6 พรรคร่วมดินเนอร์สบายใจก่อนแถลงจับขั้วรอบ 2กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชาชน จำนวน 72 คน ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 16 กันยายน พร้อมสนับสนุนการเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังจากเข้าร่วมประชุมพรรค เมื่อเวลา 13.00 น. โดยนายสมชายได้ชี้แจงข้อข้องใจของกลุ่มเพื่อนเนวินทั้งหมด จนเป็นที่เข้าใจ ก่อนที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนจะร่วมกันลงมติสนับสนุนการเสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนใหม่ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเช้าวันที่ 17 กันยายนร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงเมื่อเวลา 15.30 น. ว่า ขอยืนยันว่าในวันที่ 17 กันยายน เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา จะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของไทยอย่างแน่นอน